posttoday

งบปี'60 รัฐสภาต้องปฏิรูป ศาล-องค์กรอิสระ ระวังระบบอุปถัมภ์

06 กันยายน 2559

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.วงเงิน 2.7 ล้านล้านบาทที่ผ่านการพิจารณาแล้วให้สนช. ลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่มี “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง เป็นประธาน ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วงเงิน 2.7 ล้านล้านบาทที่ผ่านการพิจารณาแล้วให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่ในวันที่ 8 ก.ย. โดยคณะ กมธ.มีข้อสังเกตที่เป็นสาระสำคัญ ดังนี้

1.การปฏิรูประบบการจัดทำงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 หน่วยงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มมุ่งผลสัมฤทธิ์มากขึ้น แต่มีบางหน่วยงานที่ยังคงใช้การจัดทำงบประมาณแบบเดิมไม่มีเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน ทั้งนี้ กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ จะต้องมีการพิจารณาทบทวนการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และตัวชี้วัดของกระทรวงและหน่วยงานให้สะท้อนถึงความสำเร็จของงาน และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง

2.การจัดเก็บรายได้ของประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีควรศึกษาโครงสร้างภาษีของประเทศต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีของประเทศไทยให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศและสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น เช่น การปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งกฎหมายกำหนดให้จัดเก็บได้ถึง 10% เพื่อให้สามารถนำรายได้ดังกล่าวมาใช้ภารกิจตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งยังได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ

3.สำหรับกรณีองค์การมหาชนบางแห่งที่มีภารกิจซ้ำซ้อน หรือมีภารกิจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น หรือภาคกิจหมดความจำเป็นแล้ว หรือเป็นภารกิจที่ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ต้องพิจารณาทบทวน ตรวจสอบ และประเมินศักยภาพองค์การมหาชน ตามระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานว่าหน่วยงานนั้นๆ ควรดำเนินการต่อตามสถานภาพเดิมหรือยุบรวมไปอยู่ภายใต้การ กำกับดูแลของหน่วยงานหลัก หรือ ยุบเลิกองค์กร

4.หน่วยงานของศาล และหน่วยงานอิสระของรัฐ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบ กำกับ และควบคุมหน่วยงานอื่นๆ ไม่ควรจัดทำหลักสูตรโครงการฝึกอบรมที่นำบุคลากรในองค์กรของตนมาอบรมร่วมกับข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ และเอกชน เพราะจะเกิดเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ระหว่างกัน จนอาจมีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ตรวจสอบกำกับและควบคุมหน่วยงานอื่นๆ ได้ รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่างๆ โดยเคร่งครัด

5.กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ควรทบทวนแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เป็นหน่วยงานที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาการศึกษาอย่างแท้จริง

โดย กยศ.ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญตามหลักการที่รัฐต้องจัดสวัสดิการให้เด็กเรียนฟรี 15 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่ควรเรียกเก็บค่าการศึกษาใดๆ เพิ่มขึ้น สำหรับ กรอ.ต้องทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์การให้กู้ยืมโดยใช้คะแนนผลการศึกษา รวมทั้งการติดตามทวงหนี้โดยใช้วิธีจ้างทนายความหรือใช้มาตรการเครดิตบูโร ถือเป็นการทำร้ายเด็กและเยาวชน

6.รัฐสภา จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูประบบการบริหารงานอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มภาพลักษณ์และความสง่างามของความเป็นรัฐสภาไทยให้ทัดเทียมกับรัฐสภาต่างประเทศ โดยต้องเริ่มต้นตั้งแต่การแยกพื้นที่การประชุม พื้นที่ทำงาน และพื้นที่บริการ ให้ชัดเจน มีการใช้เครื่องควบคุมเพื่อคัดกรองคนผ่านเข้า-ออกแต่ละพื้นที่อย่างเข้มงวด

อีกทั้งต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้ประธานรัฐสภามีอำนาจในการบริหารและเคลื่อนย้ายการใช้ทรัพยากรระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้มีความคล่องแคล่วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงกำหนดจำนวนอัตรากำลังและการพัฒนาขีดความสามารถของข้าราชการให้มีความสมดุลกับปริมาณงานที่แต่ละสภาต้องรับผิดชอบ

7.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการพิจารณาคดีทุจริตที่มีความล่าช้า และกำหนดมาตรการลงโทษกับผู้รับผิดชอบทำคดีที่ปล่อยให้คดีหมดอายุความ เพื่อกระตุ้นให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วขึ้น

8.สำนักงานอัยการสูงสุด ให้มีการเน้นย้ำในการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ให้กับอัยการประจำจังหวัดต่างๆ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงให้จ่ายเงินในการวิ่งเต้นคดี

ขณะเดียวกัน ในรายงานฉบับนี้ยังได้ระบุถึงรายการเพิ่มงบประมาณทั้งสิ้น 19 รายการ รวมเป็น 17,980,242,800 บาท อาทิ

งบกลาง เพิ่มขึ้น 5,097,423,100 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐ สำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมาย และไม่สามารถปรับแผนการดำเนินงาน จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐและใช้จากแหล่งเงินอื่นได้

กระทรวงกลาโหม เพิ่มขึ้น 220,000,000 บาท เพื่อเตรียมความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการปกป้องอธิปไตยและการรักษาความมั่นคงภายในของประเทศในความรับผิดชอบของกองทัพบก

หน่วยงานรัฐสภา เพิ่มขึ้น 128,454,600 บาท แบ่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 66,212,200 บาท เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนภารกิจของฝ่ายนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการให้ความรู้ การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ รวมไปถึงส่งเสริมความสัมพันธ์กับองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 62,242,400 บาท เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ และการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมกับการปฏิรูปประเทศไทย

ข่าวล่าสุด

เลือกตั้ง69 กำหนดทิศทางอนาคตประเทศ บนเสาหลักประชาธิปไตย