posttoday

จับทางแก้ที่มานายกฯ วัดใจ-ขัดใจ ‘สนช.’

23 สิงหาคม 2559

กลายเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองในเวลานี้ สำหรับการแก้ไขกระบวนการในการมาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามคำถามพ่วงที่ผ่านการประชามติ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กลายเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองในเวลานี้ สำหรับการแก้ไขกระบวนการในการมาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามคำถามพ่วงที่ผ่านการประชามติ

คำถามพ่วงมีเนื้อหาระบุว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”

ตามขั้นตอนจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งต้องให้เสร็จภายใน 30 วัน ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญต่อไป โดยเวลา 30 วันที่ว่านี้จะสิ้นสุดในช่วงต้นเดือน ก.ย. แต่ กรธ.ตั้งใจว่าจะดำเนินการให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนนี้           

ทั้งนี้ หากประเมินทิศทางของ กรธ.เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะออกมา 3 แนวทางด้วยกัน

1.เลือกนายกฯ ตามระบบปกติ บทถาวรของร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สส. เป็นคนเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามบัญชีของพรรคการเมือง เพื่อให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 251 คะแนนจาก สส.ทั้งหมด 500 คน และหากเกิดกรณีที่สภาเลือกนายกฯ ไม่ได้ จะให้ สส.เกินกึ่งหนึ่งเข้าชื่อต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภามีมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 500 คน ขึ้นไปจากสมาชิกรัฐสภา (สส.และ สว.) ทั้งหมด 750 คน เพื่อให้สภาเลือกนายกฯ จากบุคคลนอกบัญชีพรรคการเมืองได้ต่อไป

ด้วยแนวทางดังกล่าวที่ กรธ.วางมาตั้งแต่ต้น จึงมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่ กรธ.จะยึดแนวทางนี้ด้วยการนำคำถามพ่วงมาปรับใส่ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ

โดยให้รัฐสภามีมติเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 คน จากสมาชิกรัฐสภา 750 คน ให้ความเห็นชอบบุคคลจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองเป็นนายกฯ แต่ กรธ.ยังคงให้ สส.เท่านั้นที่เป็นฝ่ายเสนอชื่อให้รัฐสภาลงมติเห็นชอบตามเดิม

แต่ถ้าเกิดกรณีที่รัฐสภาไม่เลือกนายกฯ จากคนในบัญชีพรรคการเมืองได้ ก็ให้สมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อให้ได้เกินกึ่งหนึ่ง หรือ 376 คน เพื่อให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภา

การประชุมรัฐสภาในกรณีนี้ จะเป็นการปลดล็อกเพื่อให้เสนอชื่อบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีพรรคการเมืองเป็นนายกฯ โดยการปลดล็อกตรงนี้ต้องได้เสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 500 คน จากสมาชิกรัฐสภา 750 คน

จากนั้นที่ประชุมรัฐสภาจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งเพื่อเลือกนายกฯ และใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งตามปกติ หรือ 376 เสียงจากสมาชิกรัฐสภา 750 คน เพื่อเห็นชอบบุคคลจากนอกหรือในบัญชีพรรคการเมืองให้เป็นนายกฯ แต่ในกรณีนี้ สว.ไม่มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯ ต่อประชุมรัฐสภา

การแก้ไขในแนวทางนี้ ย่อมหมายความว่า กรธ.มีความมุ่งหมายที่ต้องการให้นายกฯ มาจากบุคคลที่เป็นตัวแทนของประชาชนผ่านการให้ สส.เสนอชื่อ ประกอบกับที่ผ่านมาการเลือกนายกฯจะกระทำกันในที่ประชุมสภาเท่านั้น อีกทั้งการให้ สว.เสนอชื่อได้ย่อมกระทบต่อหลักการดังกล่าว เพราะ สว.ในระยะ 5 ปีแรกไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน แต่มาจากการสรรหาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงจำเป็นต้องสงวนการเสนอชื่อนายกฯ ไว้ให้กับ สส.เท่านั้น

2.เลือกนายกฯ ตามระบบปกติแต่ สว.มีสิทธิเสนอชื่อ เป็นการเลือกนายกฯ ตามระบบปกติตามแนวทางที่ 1 แต่ กรธ.อาจให้ สส.เท่านั้นที่มีสิทธิเสนอชื่อจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีพรรคการเมืองต่อที่ประชุมรัฐสภา ถ้าที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบเกินกว่ากึ่งหนึ่ง บุคคลนั้นจะได้รับการรับเลือกให้เป็นนายกฯ

ทว่าหากเกิดสถานการณ์ที่รัฐสภาไม่สามารถเลือกนายกฯ ได้ ก็ให้สมาชิกรัฐสภาร่วมกันเข้าชื่อแบบแนวทางที่ 1 เพื่อให้รัฐสภาลงมติเปิดทางให้รัฐสภาเลือกนายกฯ จากคนนอกบัญชีพรรคการเมือง จากนั้นรัฐสภาจะประชุมเพื่อลงมติเกินกว่ากึ่งหนึ่งเลือกนายกฯ จากคนนอกหรือคนในบัญชีพรรคการเมืองต่อไป โดยการเลือกนายกฯ รอบนี้ สว.สามารถเสนอชื่อต่อที่ประชุมรัฐสภาได้

3.เสียงข้างมากชนิดพิเศษเลือกนายกฯ แนวทางที่ 1 และ แนวทางที่ 2 เป็นการบัญญัติให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือกนายกฯ จากคนในหรือคนนอกบัญชีพรรคการเมืองด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่งตามปกติ คือ บุคคลที่จะได้เป็นนายกฯ นั้น ต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งจากที่ประชุมรัฐสภา 376 คน  

อย่างไรก็ตาม ถ้า กรธ.เล็งเห็นว่าการที่ สว.เสนอชื่อนายกฯ เป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญของการเลือก นายกฯ จากเดิมที่ให้เฉพาะ สส.เท่านั้นที่มีสิทธิเสนอชื่อ ย่อมอาจกำหนดให้การเลือกนายกฯ จากการเสนอชื่อของ สว.ต้องใช้ระบบเสียงเกินกึ่งหนึ่งแบบพิเศษ โดย กรธ.อาจนำแนวทางของร่างรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เป็นประธานเคยบัญญัติไว้มาปรับปรุง

กล่าวคือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ อาจารย์บวรศักดิ์ กำหนดให้การเลือกนายกฯ จากบุคคลที่ไม่ได้เป็น สส.จะต้องได้รับความเห็นชอบที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 333 คนขึ้นไปจากสส.ทั้งหมด 500 คน

ในที่นี้หมายความว่าถ้า กรธ.เห็นด้วยกับแนวทางของร่างรัฐธรรมนูญฉบับอาจารย์บวรศักดิ์ กรธ.อาจบัญญัติในทำนองว่า ถ้ารัฐสภาจะให้บุคคลที่ สว.เสนอ ไม่ว่าจะในหรือนอกบัญชีพรรคการเมืองเป็นนายกฯ ที่ประชุมรัฐสภาจะต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 500 คน จากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 750 คน

แต่ถ้าเป็นบุคคลที่ สส.เสนอ ไม่ว่าจะในหรือนอกบัญชีพรรคการเมือง รัฐสภาไม่จำเป็นต้องใช้มติเสียงข้างมากแบบพิเศษ เพียงแต่ใช้มติเกินกึ่งหนึ่งตามปกติหรือมากกว่า 375 คน จากสมาชิกรัฐสภา 750 คน เพื่อให้ความเห็นชอบเป็นนายกฯ

ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหลือจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของ กรธ. เพราะถ้า กรธ.ตัดสินใจแก้ไขโดยไม่ถูกใจ สนช.ย่อมอาจเกิดความกินแหนงแคลงใจ แต่หากตัดสินใจแก้ไขเนื้อหาที่สวนทางกับข้อเสนอของ สนช. ที่ต้องการให้สว.สามารถเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ ย่อมอาจเกิดกระแสต่อต้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

ข่าวล่าสุด

ทรูเร่งกู้สัญญาณชายแดนไทยกัมพูชาดูแลการสื่อสารช่วงหยุดยิง