แม่น้ำสองสายไหลเชี่ยว กดดันถล่ม 'กรธ.'
เพิ่งผ่านพ้นประชามติร่างรธน.และคำถามพ่วงมาสดๆ ร้อนๆ แทนที่กรธ. จะเดินหน้าแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพื่อนำเนื้อหาของคำถามพ่วงแบบสบายๆ แต่กลับต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เพิ่งผ่านพ้นประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงมาสดๆ ร้อนๆ แทนที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะเดินหน้าแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพื่อนำเนื้อหาของคำถามพ่วงแบบสบายๆ แต่กลับต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
สถานการณ์ที่ว่านั้น คือ แรงกดดันจากแม่น้ำสองสาย สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งต้องการให้ สว.มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้ การเสนอประเด็นคำถามประชามติเพิ่มเติมนั้นตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 กำหนดให้ สปท.เป็นผู้ริเริ่ม จากนั้นส่งให้ สนช.ลงมติเห็นชอบ และถ้าคำถามพ่วงผ่านประชามติ จะเป็นหน้าที่ของ กรธ.ในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขดังกล่าวสอดคล้องกับผลประชามติหรือไม่ต่อไป
เมื่อ สปท.และ สนช.เป็นฝ่ายกำหนดคำถาม จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ กรธ.ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าอำนาจเด็ดขาดในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นของ กรธ.ก็ตาม
วันชัย สอนศิริ สมาชิก สปท.ในฐานะผู้เสนอคำถามพ่วง ระบุว่า “เมื่อ สว.มีสิทธิร่วมกันโหวต ก็มีสิทธิที่จะร่วมกันเสนอนายกฯ คนในหรือเป็นคนนอก ก็ได้ทั้งนั้นในระหว่าง 5 ปีนี้”
ขณะที่ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. ยอมรับว่า “มี สนช.บางรายเสนอให้ สว.มีส่วนในการเสนอชื่อบุคคลที่เป็นนายกฯ ได้ตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกันมี สนช.บางกลุ่มได้ไปชี้แจงก่อนลงประชามติว่าให้ สว.มีส่วนเสนอชื่อ นายกฯ ด้วย”
สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นว่าได้ตีความคำถามพ่วงในเชิงหลักการว่า “ในเมื่อ สว.ร่วมเลือกนายกฯ ได้ ก็ต้องสามารถเสนอชื่อได้เช่นกัน”
ข้อเสนอของ สนช.และ สปท. ด้านหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นความเจตนาดี เพราะหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น อย่างกรณีที่บุคคลในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองที่เสนอให้รัฐสภาเลือกเป็นนายกฯ เกิดมีอันเป็นไปทั้งหมด ย่อมทำให้รัฐสภาไม่สามารถเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ และจะส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนั้นด้วย จึงเป็นเหตุให้ สนช.และ สปท.เห็นตรงกันว่าควรให้ สว.มีสิทธิเสนอชื่อได้ เพื่อให้ประเทศมีนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารและไม่ให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดสุญญากาศ
อย่างไรก็ตาม ในมุมของ กรธ.เองครุ่นคิดอยู่ไม่น้อยว่าการแก้ไขเพิ่มคำถามพ่วงเข้าไปในร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นเสมือนหนึ่งการขยายอำนาจ สว.จะสอดคล้องกับผลประชามติหรือไม่
ที่สำคัญ กรธ.ยังมองไม่ออกว่าจะเอาอะไรมายึดถือว่าเป็นเจตนารมณ์ของคำถามพ่วง เพราะในคำถามพ่วงที่ส่งให้ประชาชนลงประชามตินั้นไม่ได้ระบุถึงการให้ สว.มีสิทธิเสนอชื่อแต่อย่างใด
“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่าในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” เนื้อหาของคำถามพ่วง
ถ้ามองตามตัวอักษรแล้วจะเห็นว่าระบุแค่อำนาจหน้าที่ของ สว.เกี่ยวกับกระบวนการในการได้มาซึ่งนายกฯ เฉพาะแค่การให้ร่วมกับ สส.เพื่อเลือกนายกฯ โดยไม่ได้บัญญัติรายละเอียดว่าหากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถเลือกนายกฯ ได้ขึ้นมา จะให้ สว.นั่งอยู่เฉยๆ หรือไปร่วมหอลงโรงกับ สส.เพื่อเสนอชื่อนายกฯ
หากจะประเมินว่าที่สุดแล้ว กรธ.จะเลือกแนวทางไหน แน่นอนว่า กรธ.ย่อมยึดตามตัวอักษรเป็นหลัก
หมายความว่า สส.จะเป็นผู้มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯ เท่านั้น เพราะเป็นหลักการที่ กรธ.วางไว้ในร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก แม้ในร่างรัฐธรรมนูญทาง กรธ.จะเปิดทาง สว.ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็เป็นเพียงให้ร่วมลงมติเพื่อเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกฯ จากบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีพรรคการเมืองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึง กรธ.จะมีสิทธิขาดแก้ไขเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญเวลานี้ แต่ในทางการเมืองแล้วกลับไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง
ต้องไม่ลืมว่าในระยะยาว “กรธ.-สนช.-สปท.” ยังต้องทำงานร่วมกันในระยะเปลี่ยนผ่านหลังจากร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้
กรธ.มีหน้าที่จัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับ ซึ่งต้องส่งให้ สนช.ให้ความเห็นชอบ ไม่ต่างอะไรกับ สปท.มีหน้าที่ต้องทำกฎหมายกำหนดขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ แม้ กรธ.จะไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็คงต้องอาศัยแรงผลักดันจาก สปท.อยู่ไม่น้อยเพื่อให้เจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญเป็นรูปธรรม
หาก กรธ.หักหาญน้ำใจของ สปท.และ สนช. ย่อมเกิดความกินแหนงแคลงใจ แต่ครั้นจะสนองข้อเสนอของทั้งสองสภา ย่อมเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองเหมือนกัน เพราะวุฒิสภาไม่ได้มีสถานะเป็นตัวแทนประชาชนเทียบเท่ากับ สส.
ดังนั้น ไม่ว่า กรธ.จะเลือกทางไหนย่อมหนีไม่พ้นปัญหาไปได้ จึงเป็นสถานการณ์ที่พิสูจน์ความสามารถของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธาน กรธ.อีกครั้งว่าจะใช้ลีลาทางกฎหมายเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจได้อย่างไร และพา กรธ.รอดจากแม่น้ำสองสายที่ไหลเชี่ยวอยู่ในเวลานี้


