จับบึ้มใต้ ท้าทายอนาคตคสช.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทาง คสช.ต้องรีบทำ ความจริงให้ปรากฏและนำข้อมูลข้อเท็จจริงออกมาชี้แจงกับสังคม
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
อานุภาพของเหตุระเบิดและไฟไหม้ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ 11-12 ส.ค.ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างรุนแรง อีกด้านหนึ่งยังสั่นคลอนเสถียรภาพของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมืออย่างรุนแรงไม่แพ้กัน
นี่จึงถือเป็น “เดิมพัน” ครั้งสำคัญของ คสช.ว่าจะสามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นของตัวเองด้วยการติดตามตัวกลุ่มป่วนที่ออกมาก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้มาดำเนินคดีได้หรือไม่
ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาหนึ่งในผลงานที่ คสช.สร้าง “คะแนนนิยม” ได้ไม่น้อย คือ การสกัดเหตุป่วนต่างๆ ทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขได้พักใหญ่หลังจากเกิดเหตุป่วนเป็นระยะช่วงหลังรัฐประหาร
ที่สำคัญ “จุดแข็ง” ตรงนี้ ทำให้ คสช.ได้รับการสนับสนุนและไว้ใจให้ทำหน้าที่บริหารงานตามโรดแมปได้ระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายเมื่อจุดแข็งดังกล่าว
กลายเป็นจุดอ่อนปัญหาจึงมีแนวโน้มที่จะย้อนกลับมายัง คสช.อย่างรุนแรง
เมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในมือ คสช. กลไกการสั่งการ ทั้งหน่วยข่าว หน่วยงานด้านความมั่นคง รวมไปถึงกฎระเบียบพิเศษที่ออกมาช่วยอำนวยความสะดวกในการ ติดตาม ตรวจค้น จับกุม เป็นไปได้สะดวกขึ้นกว่าปกติ
แต่สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์อุกอาจที่ก่อเหตุในเวลาไล่เลี่ยเสมือนมีการเตรียมการล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี แต่ทาง คสช.กลับไม่พบไม่เห็นข้อมูล ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นได้ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของ คสช.อย่างรุนแรง
การแก้ไขสถานการณ์ติดตามตัวหาผู้กระทำผิด ตลอดจนหาทางสกัดไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำจึงถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ คสช.ต้องเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้ความเชื่อมั่นต้องลดน้อยลงไปกว่าเดิม
อีกทั้งจะต้องทำให้กระบวนการติดตามตัวคนก่อเหตุ รวมทั้งสืบสาวไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังนั้น จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใสไม่มีการจับแพะ
หรือพุ่งเป้าไปที่บางกลุ่มบางฝ่ายโดยปราศจากหลักฐานเชื่อมโยง จนเกิดความเคลือบแคลงในสังคม อันจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงไป
ความคืบหน้าล่าสุด หลังประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ติดตามความคืบหน้าไปยัง 7 จังหวัด พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. ยืนยันว่า ตำรวจสามารถควบคุมตัว ศักรินทร์ คฤหัสถ์ ชาวเชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์
เบื้องต้นพบหลักฐานเป็นภาพวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ว่า ศักรินทร์ถือถุงพลาสติกเข้าไปในห้าง จำนวน 2 ถุง แต่ถือถุงพลาสติกกลับออกมาเพียง 1 ถุง ซึ่งตำรวจเชื่อว่าพยานหลักฐานที่มีนั้น สามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้อย่างแน่นอน
แต่ต่อมากลับมีการระบุว่า ศักรินทร์ยังไม่ถือเป็น “ผู้ต้องหา” หรือแม้แต่ “ผู้ต้องสงสัย” และไม่ได้เป็นการจับกุม เพียงแต่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจ ม.44 ไปเชิญตัวมาเพื่อสอบปากคำในฐานะเป็นผู้หนึ่งที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิดเท่านั้น ไม่ได้เสนอขอออกหมายจับ
ยิ่งยืนยันความเคลือบแคลงของสังคมที่ตั้งข้อสังเกตถึงการคุมตัวศักรินทร์ว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องจริงหรือไม่ ยังไม่รวมถึงกระแสที่มีความพยายามโยงไปถึงขั้วอำนาจเก่าว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะปรากฏการณ์อุกอาจที่เกิดขึ้นในช่วงหลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติได้ไม่ถึงสัปดาห์นั้น อาจเป็นการสะท้อนความไม่พอใจที่เกิดขึ้นหลังสงบมานาน
ทว่า วัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “หมดปัญญาก็หาเรื่องทักษิณ” โดยระบุว่า “หลังได้ทราบข่าวระเบิดที่ภาคใต้ก็เดาได้เลยว่าจะต้องมีการโทษ นายทักษิณ ชินวัตร เพราะเป็นวิธีง่ายที่สุด มีการใช้นายทักษิณและพวกตนเป็นเหยื่อเพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเป็นคนที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”
ขณะที่อีกด้านหนึ่งเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนสร้างความวุ่นวายให้ คสช.อยู่ในอำนาจต่อไป เพื่อดูแลรักษาความสงบในสังคม เกินกรอบโรดแมปที่กำหนดไว้ ไม่ต่างจากการวิเคราะห์ของบางฝ่ายที่เชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแรงกระเพื่อมภายในกองทัพ เชื่อมโยงกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญในกองทัพ
สุดท้าย พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. ต้องออกมาปฏิเสธว่า ทหารไม่มีทางทำร้ายประชาชน รวมถึง ที่พาดพิงว่าเชื่อมโยงกับการแต่งตั้งโยกย้ายนั้น ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทาง คสช.ต้องรีบทำ ความจริงให้ปรากฏและนำข้อมูลข้อเท็จจริงออกมาชี้แจงกับสังคม อย่าปล่อยให้เกิดความคลุมเครือ เพื่อไม่ให้สถานการณ์รุนแรงบานปลายกว่าที่ควรจะเป็น และทำให้เส้นทางตามโรดแมปของ คสช.เต็มไปด้วยความยากลำบาก


