posttoday

10ประเด็นร้อนร่างรธน. โต้เดือดจนถึงวันชี้ขาด

02 สิงหาคม 2559

เปิด 10 ประเด็นร้อนว่าด้วยการเมืองถกเถียงระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญนำมาหักล้างกัน

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เหลืออีกเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็จะถึงวันออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองของไทย ไม่ว่าผลการออกเสียงจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายสำหรับการลงประชามติเสร็จสิ้นเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าจนถึงทุกวันนี้มีประเด็นที่ว่าด้วยการเมืองถกเถียงระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญนำมาหักล้างกันต่อเนื่อง ซึ่งทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ขอรวบรวมไว้เป็น 10 ประเด็นดังนี้

1.เปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอก เป็นประเด็นร้อนแรกๆ ที่ถูกพูดถึงค่อนข้างมาก เพราะ กรธ.จะให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือกนายกฯ แต่ก็มีประเด็นว่าเป็นการให้คนนอกมาเป็นนายกฯ เหมือนกับเมื่อปี 2535 หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ กรธ.พยายามหักล้างคำว่า “นายกฯ คนนอก” นั้นไม่ได้เป็นคนนอกเสียทีเดียว เนื่องจากเป็นบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกจากบัญชีดังกล่าว ซึ่งจะเป็น สส. หรือไม่เป็น สส.ก็ได้

กระนั้นก็ตาม ยังคงมีเสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้การเลือกนายกฯ ในระบบเดิมตามแนวทางของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 คือสภาฯ ต้องเลือกนายกฯ จากบุคคลที่เป็น สส.

2.การเลือกตั้ง สส.ตัดสิทธิประชาชน กรธ.กำหนดให้การเลือกตั้ง สส.แบบใหม่ใช้บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว แต่คำนวณหา สส.ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ โดยระบุว่าเป็นระบบที่ทำให้ทุกคะแนนมีความหมาย เพราะถูกนับและนำมาคำนวณหา สส.ทั้งหมด

ทว่ากลับมีข้อโต้แย้งตรงที่เป็นการตัดสิทธิประชาชน จากเดิมที่ สส.สามารถเลือกคนและพรรคการเมืองได้โดยตรงผ่านการมีบัตรเลือกตั้ง สส.แบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ แต่ระบบใหม่มีผลให้ประชาชนเลือกได้เฉพาะ สส.แบ่งเขตเท่านั้น

3.รัฐบาลผสมอ่อนแอ เป็นผลสืบเนื่องมาจากระบบการเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ที่วางกรอบไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้เสียงในสภาฯ แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่ง กรธ.อธิบายว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเผด็จการรัฐสภาเหมือนในอดีต แต่ฝ่ายตรงข้ามเห็นแย้งว่าจะนำมาซึ่งรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ เพราะพรรคการเมืองขนาดกลางจะสร้างอำนาจต่อรอง จนทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ

4.การได้มาซึ่ง สว.ไม่ยึดโยงประชาชน อย่างที่ทราบกันดีว่าการได้มาซึ่ง สว.ตามร่างรัฐธรรมนูญได้แบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรก ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดำเนินการสรรหาให้ได้ 250 คน มีวาระ 5 ปี จากนั้นถึงจะเป็น สว.ที่มาจากการเลือกกันเองของผู้สมัครตามสาขาวิชาชีพ จำนวน 200 คน

การเลือก สว.ดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามมาที่ กรธ.ว่าสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะประชาชนไม่มีสิทธิเลือกโดยตรง แต่กรธ.พยายามอธิบายมาตลอดว่าการไม่กำหนดให้ สว.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงนั้น เพราะไม่ต้องการให้ผู้สมัคร สว.ต้องพึ่งฐานเสียงพรรคการเมืองเพื่อให้ตัวเองได้รับการเลือกตั้ง

5.ยุทธศาสตร์ชาติสร้างปัญหา เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งมีการบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก แต่ได้นำมาซึ่งข้อโต้เถียงถึงความเหมาะสมเป็นอย่างมาก โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่ายุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวจะเกิดขึ้นในยุคของ คสช. และมีผลสืบเนื่องไปอีก 20 ปี อาจมีผลให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเวลาต่อมาไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างมีอิสระ

แต่ กรธ.อธิบายว่าการมียุทธศาสตร์ชาติจะช่วยให้การบริหารประเทศมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองของฝ่ายที่จะมาเป็นรัฐบาล

6.องค์กรอิสระมีอำนาจมากเกินไป ประเด็นที่เกิดการโต้เถียงพอสมควร คือการให้มีอำนาจป้องกันความเสียหายทางการเงินการคลัง โดยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่แจ้งไปยังสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายไม่เห็นด้วยมองว่าอาจเป็นการเปิดช่องให้องค์กรอิสระแทรกแซงรัฐบาลได้ แต่ กรธ.ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนารมณ์เช่นนั้น เพราะต้องการให้องค์กรอิสระทำงานในเชิงรุกมากขึ้นแทน

7.ปราบโกงได้ไม่จริง กรธ.พยายามบอกแก่สาธารณะว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความมุ่งหมายที่ต้องการปราบการทุจริตให้เด็ดขาด โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองไว้อย่างเข้มข้น รวมไปถึงการใช้มาตรการทางจริยธรรมมาช่วยควบคุมนักการเมือง แต่อีกมุมเห็นว่าการให้ผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อองค์คณะของศาลฎีกาได้ จากเดิมที่จะให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณานั้นอาจมีผลให้การปราบทุจริตเกิดความอ่อนแอได้

8.การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยาก เป็นหนึ่งในเรื่องร้อนที่ถูกพูดถึงมากที่สุด โดย กรธ.บัญญัติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นผลสำเร็จก็ต่อเมื่อมี สส.ฝ่ายค้านเห็นด้วยไม่น้อยกว่า 20% และต้องได้เสียงสนับสนุนจาก สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน สว. ซึ่ง กรธ.ให้เหตุผลถึงการตั้งเงื่อนไขในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้สูงว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ จึงต้องมีหลักประกันที่ป้องกันไม่ให้เกิดการใช้เสียงข้างมากแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้ ส่วนฝ่ายไม่เห็นด้วยระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ยาก มีเป้าประสงค์เพื่อปกป้อง คสช.

9.บทเฉพาะกาลนิรโทษกรรม คสช. การให้รัฐธรรมนูญรับรองการกระทำของคณะรัฐประหาร ถึงจะเป็นบรรทัดฐานที่ทำการสืบมา แต่ปัจจุบันได้ก่อให้เกิดคำถามว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร เพราะนั่นอาจหมายถึงการนิรโทษกรรมการทุจริตที่เกิดขึ้นในยุค คสช.ด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ กรธ.มีคำอธิบายว่าการนิรโทษกรรม คสช.ตามร่างรัฐธรรมนูญมาตราสุดท้ายจะไม่นิรโทษกรรมการทุจริตที่เกิดขึ้นในระหว่างการบริหารประเทศของ คสช.แต่อย่างใด

10.สว.ไม่ควรได้สิทธิเลือกนายกฯ นอกเหนือไปจากเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดการโต้เถียงกันแล้ว ปรากฏว่าคำถามพ่วงที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  (สนช.) ร่วมกันตั้งขึ้นมาก็เกิดการโต้แย้งดุเดือดไม่แพ้กัน โดย สปท.และ สนช.ผนึกกำลังสร้างคำอธิบายว่าในเมื่อรัฐบาลต้องรายงานความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาแล้วก็ควรให้ สว.และสส.ร่วมกันเลือกนายกฯ ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยแย้งว่า วุฒิสภามีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองกฎหมาย จึงไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสถาปนาอำนาจฝ่ายบริหาร

ข่าวล่าสุด

ประกาศ! ปิดกั้นอ่าวไทย 'สกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย' เข้ากัมพูชา