posttoday

จุดกระแสไม่รับ รธน. วางหมาก คสช.อยู่ยาว

25 กรกฎาคม 2559

หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน คสช.ก็จะไม่เสียหาย เพราะจะอ้างได้ว่า ที่ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพราะคนต้องการให้ คสช.อยู่ต่อ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ช่วงโค้งสุดท้ายการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ สถานการณ์ทางการเมือง เข้มข้นขึ้นตามลำดับ มีการชิงไหวชิงพริบกันระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ว่าผลของการลงมติครั้งนี้จะออกมาอย่างไร ก็มีผลกระทบโดยตรงต่อสถานะของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

งานนี้ คสช.คิดหนัก โดยเฉพาะหากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านขึ้นมา จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามกดดันเรียกร้องให้ คสช.ต้องแสดงความรับผิดชอบหนักหน่วงขึ้น 

แม้นาทีนี้ คสช.มั่นใจว่าจะกุมสถานการณ์ได้ แต่หากถึงสถานการณ์จริง คสช.อาจต้องเผชิญกับเสียงเรียกร้องต่างๆ นานาจนทำให้อำนาจการบริหารประเทศของ คสช.สั่นคลอนได้

ทั้งนี้ กระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมีสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุด “เครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย” ประกอบด้วย นักวิชาการ กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มาจากหลายขั้วหลากสี รวมถึงพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาเรียกร้อง 5 ข้อ สรุป ว่า 1.เปิดให้ประชาชนทุกฝ่ายได้ถกแถลงแสดงความคิดเห็น 2.ทางเลือกต้องชัด หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะยังไงต่อ 3.ถ้าไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญใหม่ต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม 4.หากข้อ 1-3 เกิดขึ้น ทุกฝ่ายต้องยอมรับผลประชามติ และ 5.รัฐธรรมนูญที่จะได้มาต้องเป็นประชาธิปไตย คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ มีระบบตรวจสอบ ถ่วงดุล มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม

แม้กลุ่มนี้จะไม่ได้เรียกร้องให้คว่ำรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่หาก คสช.ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องโอกาสสูงที่กลุ่มดังกล่าวจะประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากหลายๆ สำนัก จะพบว่า ทั้งโพลแบบเปิดเผย หรือปิดลับ ผลโพลต่างออกมาคล้ายๆ กันคือ ก้ำกึ่งและสูสีกันมาก ระหว่าง “เห็นชอบ กับไม่เห็นชอบ” ซึ่งโอกาสที่จะประชามติไม่ผ่านเพิ่มสูงขึ้นอีก

ปมปัญหานี้ กุนซือ คสช.ย่อมมองออก จึงพยายามจุดกระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยู่ยาวต่อไป จนกว่าจะปฏิรูปประเทศแล้วเสร็จ โดยไม่ต้องรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้

คนที่จุดพลุเรื่องนี้ คือ “ไพศาล พืชมงคล” กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

“ผมขอประกาศว่า ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญครับ ...ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็เป็นไปตามโรดแมป ใครอย่ามาอ้างแพ้ชนะ และถ้าจะอ้างอย่างนั้น ก็ต้องอ้างว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน เป็นชัยชนะของประชาชนที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อน

...ยังมีอีกมากกลุ่มที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศไปอีก 5 ปีถึง 20 ปี แม้จะยังคงโต้แย้งกันบ้างว่าจะเป็น 5 ปี หรือ 20 ปี ก็เป็นเรื่องปลีกย่อย หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน เราต่างก็เป็นคนไทยด้วยกัน ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็หวังแต่ให้บ้านเมืองสงบสุข ปวงประชาสามัคคีกัน ทำมาค้าขายได้ ก็พอใจแล้ว”

จากถ้อยคำของ “ไพศาล” ชัดเจนว่า ที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไป 20 ปี โดยเชื่อมั่นว่า เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน จะต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ ซึ่งทาง คสช.จะร่างอย่างไรก็ได้เพื่อให้มีอำนาจอยู่ต่อไป เพราะถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน ทาง คสช.จะไม่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ และที่สำคัญนักการเมืองจะกลับมาแชร์อำนาจอีก

หมากเกมนี้ หากสำเร็จ ทำให้ คสช.อยู่ในสถานะมั่นคงในอำนาจขึ้นมาทันที เพราะไม่ว่าผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะออกอย่างไร คสช.ปลอดภัย คือถ้ารัฐธรรมนูญผ่านประชามติ คสช.ก็เดินหน้าตามกลไก ซึ่งฝ่ายไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ มองว่าแม้จะมีการเลือกตั้ง แต่กลไกในรัฐธรรมนูญในหลายมาตราจะยังเอื้อให้ คสช.คุมอำนาจต่อไป

ในทางกลับกัน หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน คสช.ก็จะไม่เสียหาย เพราะจะอ้างได้ว่า ที่ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพราะคนต้องการให้ คสช.อยู่ต่อจนกว่าจะมีการปฏิรูป ไม่ใช่เพราะคนต้องการไล่ คสช.

อย่างไรก็ตาม ถึงตรงนั้น ต่างฝ่ายต่างอ้าง เพื่อสร้างความชอบธรรม และในที่สุด คสช.ก็ยังอยู่ในอำนาจต่อไป ดังนั้นการจุดกระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ “ไพศาล” แน่นอนต้องการอ้างคะแนนเสียงที่ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ คสช.อยู่ยาว

ทั้งหมดนี้ หากพิจารณาจากเป้าหมายปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง คสช.อาจขออยู่ต่อ หรือหากพิจารณาจากพลังการเคลื่อนไหวกดดันจากฝ่ายตรงข้าม คสช. ณ เวลานี้ ไม่มีกลุ่มใดสามารถต่อกรกับ คสช.ได้ ดังนั้นแม้รัฐธรรมนูญผ่าน หรือไม่ผ่านประชามติ คสช.ย่อมอยู่ต่อ หรืออยู่ยาวได้

ฉะนั้นการขยับของ “ไพศาล” ในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า คสช.วางหมากทางการเมืองรองรับไว้แล้วทุกด้าน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทุกอุบัติเหตุทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 7 ส.ค.นี้