ปิดประตู ‘หงายไพ่’ คสช.อุบไต๋คุมเชิงประชามติ
จนถึงนาทีนี้คงเป็นไปได้ยากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะยอม “หงายไพ่”
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
จนถึงนาทีนี้คงเป็นไปได้ยากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะยอม “หงายไพ่” แจกแจงรายละเอียดว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่านประชามติในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แม้ล่าสุด “เครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย” จะรวมตัวออกโรงเรียกร้องประเด็นนี้ต่อ คสช.ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการออกเสียงประชามติก็ตาม
ต้องยอมรับว่าการขยับครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมที่ต้องการเห็นทางเลือกที่ชัดเจนเพื่อให้การออกเสียงประชามติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เปิดพื้นที่แสดงความคิดเห็น
ที่สำคัญ การขยับครั้งนี้ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มที่หวังอาศัยจังหวะสร้างสถานการณ์กดดันการทำงานของ คสช. เพราะกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นเครือข่ายประชาสังคมและนักวิชาการจากหลายสถาบัน โดยมีผู้สนับสนุนลงนามในคำแถลง 117 คน กับอีก 17 องค์กร
ส่องดูรายชื่อ อาทิ สุริชัย หวันแก้วโคทม อารียา สุรชาติบำรุงสุข บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ สุหฤท สยามวาลา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บัญญัติ บรรทัดฐาน องอาจ คล้ามไพบูลย์ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นิกร จำนง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ วันมูหะมัดนอร์มะทา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
หลายคนเป็นนักวิชาการเป็นที่เคารพนับถือในสังคม ขณะที่ส่วนของภาคการเมืองที่มาร่วมลงรายชื่อนั้นก็มาจากหลายพรรคใหญ่ ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทย หลายคนเป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี อดีตประธานสภา ฯลฯ ที่ทำให้เสียงสะท้อนครั้งนี้มีน้ำหนักมากกว่าที่ผ่านมา
จะเห็นว่า ก่อนหน้านี้มีความพยายามทวงถามความชัดเจนจาก คสช.อยู่เป็นระยะเพื่อให้การตัดสินใจออกเสียงประชามติเป็นไปอย่างรอบคอบ เมื่อรู้ว่า “ทางเลือก” ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะเป็นอย่างไร เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบได้ว่า “ดี” หรือ “ร้าย” กว่าฉบับนี้
แต่ท่าทีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดจนคนใน คสช.ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือและสับสน
ชัดเจนที่สุดคงเป็นท่าทีจาก วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กับการออกมาอธิบายถึงความเป็นไปได้ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติก็จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว 4 ประเด็นหลัก คือ 1.ใครเป็นคนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2.ทำโดยวิธีใด 3.กรอบเวลาให้เสร็จเมื่อไร และ 4.เมื่อร่างเสร็จแล้วต้องดำเนินการอย่างไรต่อ
พร้อมตบท้ายว่าส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็นต้องประชามติอีกเพราะจะทำให้เสียเวลานาน
อีกด้านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เคยหลุดปากกว่าหากมีปัญหามากนัก ก็จะเขียนรัฐธรรมนูญเอง โดยเอาความรู้สึกของประชาชนว่าต้องการอะไรมาเขียน ก่อนจะมาอธิบายว่าเป็นคำพูดไม่ทางการ
“อย่ามาถือสาผม ผมก็พูดของผมให้มีอารมณ์ไปเรื่อย ถือเป็นหลักการพูด รู้จักกันบ้างหรือไม่ ซึ่งคำทางพระเรียกว่า เทศน์แบบคาบลูกคาบดอก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ท่าทีทั้งหลายเหล่านี้ทำยิ่งทำให้ “ทางเลือก” ในกรณีที่หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามตินั้น ยิ่ง “คลุมเครือ” จนไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
กันแน่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่อาจเป็นความตั้งใจจากฝั่ง คสช. ด้วยเหตุผลหลายประการ เริ่มตั้งแต่ต้องการบีบให้กลุ่มคนที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญคิดหนักว่าจะลงมติ “ไม่รับ” หรือไม่ เพราะไม่มีหลักประกันว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ออกมาใหม่จะดีกว่าฉบับที่กำลังจะลงมติ
แม้จะถูกโจมตีว่าเป็นการ “มัดมือชก” แต่ทาง คสช.ก็พยายามชี้แจงว่าอยากให้โฟกัสที่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญมากกว่าเปรียบเทียบระหว่างฉบับนี้หรือฉบับใหม่
ประเด็นถัดมา หาก คสช.พูดชัดเจนว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรนั้น ก็เท่ากับเป็นการ “ผูกมัดตัวเอง” ให้ต้องทำตามที่รับปากอย่างไม่มีทางเลือก
ดังจะเห็นว่าจากการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น ช่วงการออกเสียงประชามติยังเต็มไปด้วยความเปราะบาง ที่อาจมีปัจจัยนำไปสู่การพลิกผันได้ตลอดเวลา
การตีกรอบให้ตัวเองต้องเดินไปตามทางที่กำหนดไว้ท่ามกลางความสุ่มเสี่ยงจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะหากถึงจุดหนึ่งอาจจำเป็นต้องตัดสินใจเดินออกนอกทางที่ประกาศไว้
การเปิดทางเดินให้กว้างไว้ในช่วงปลายโรดแมปย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ คสช.ที่กำลังจะต้องเตรียมหาทางแลนดิ้งลงจากหลังเสือ
ดังนั้น ต่อให้มีความพยายามหรือแรงกดดันมากแค่ไหน ก็เป็นเรื่องยากที่ คสช.จะยอมหงายไพ่เผยหน้าตักของตัวเองทั้งหมด ที่จะทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเดิมพันที่ใกล้จะรู้ผลแพ้ชนะ