posttoday

ปิดกั้นประชามติ ประเทศเสี่ยง ‘ไม่น่าเชื่อถือ’

20 กรกฎาคม 2559

3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนลงประชามติ 7 ส.ค. ปฏิกิริยาจากฝ่ายรัฐในการติดตามตรวจสอบกลุ่มเห็นต่างร่างรัฐธรรมนูญยังดำเนินต่อไป

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนลงประชามติ 7 ส.ค. ปฏิกิริยาจากฝ่ายรัฐในการติดตามตรวจสอบกลุ่มเห็นต่างร่างรัฐธรรมนูญยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการคุมเข้มการแสดงออกด้วยการแจกใบปลิว หรือใช้ไม้แข็ง ห้ามแจกเอกสาร “ความเห็นแย้ง” รัฐธรรมนูญโดยเรียกจากฝ่ายรัฐว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปลอม”

อย่างไรก็ตาม เสียงที่ห้ามไม่ได้คือเสียงทักท้วงจากนานาชาติที่เรียกร้องให้เกิดการลงประชามติที่โปร่งใส-ยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงออก ทั้งจากองค์การสหประชาชาติ ทั้งจากสหภาพยุโรป ซึ่งเอกอัครราชทูตหลายประเทศถึงกับรวมตัวกันออก “แถลงการณ์ร่วม” เรียกร้องเสรีภาพของประชาชน จนนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่เอกอัครราชทูต “กังวล” ตรงกันเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทย ในการแสดงความคิดเห็นก่อนลงประชามติในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

นักวิชาการมองว่า ปฏิกิริยาจากรัฐบาลยิ่งแรง ยิ่งเป็นผลลบ ทำให้สายตาจากต่างประเทศที่ทอดมาที่เมืองไทย เป็นลบมากกว่าจะเชื่อถือคำชี้แจงจากรัฐบาล

สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ประจำประเทศไทย บอกว่า ท่าทีดังกล่าวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือว่าถูกจับตาในระดับสูงสุดจากนานาประเทศทั่วโลก และถือเป็นปฏิกิริยาที่แสดงออกในลักษณะที่แรงที่สุด เพราะทั้งเลขาธิการสหประชาชาติ รัฐบาลประเทศต่างๆ รวมถึงเอกอัครราชทูตในประเทศยุโรปต่างก็ออกแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อแสดงความเป็นห่วงการลงประชามติและสะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการ

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลอนุญาตให้ฝ่าย “เห็นด้วย” เท่านั้น ที่สามารถแสดงออกได้อย่างเสรี แต่ในทางกลับกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกลับถูกมาตรา 44 ถูกจับ ถูกจำคุก การออกข่าวเรื่องรัฐธรรมนูญปลอม รวมถึงการใช้อำนาจมาตรา 44 สั่ง กสทช.ปิดสื่อได้โดยไม่ต้องรับผิด

ท่าทีเหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกโดยรัฐ ซึ่งโลกต่างก็แสดงความกังวลว่ากระบวนการประชามติจะไม่เป็นการ “เปลี่ยนผ่าน” ไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แบบที่ประเทศเผด็จการอื่นๆ เคยทำมาก่อนหน้านี้

“ถามว่า คสช.ทำแบบเดิมต่อไปได้ไหม ด้วยกฎหมายที่มีในมือ คสช.จะทำอะไรก็ได้ ถ้าไม่กังวล ถ้าอยากตัดขาดกับประชาคมโลก ก็สามารถยืนในจุดยืนเดิมแบบที่ทำอยู่ แต่ต้องถามกลับไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกหรือไม่ ถ้ายังอยากมีความร่วมมือกับโลก ถ้ายังอยากมีมิตรประเทศเหล่านี้เป็นเพื่อนก็ควรจะรับฟัง”

สุณัย บอกอีกว่า ลักษณะเช่นนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อเมียนมาทำประชามติเมื่อปี 2551 ซึ่งรัฐบาลทหารเมียนมาก็แสดงออกแบบเดียวกัน คือห้ามประชาสัมพันธ์การ “ไม่รับ” และนานาชาติก็กระทุ้งด้วยการแสดงความกังวล ขอผู้สังเกตการณ์เข้ามา

“หากประเทศไทยยังอยากอยู่ในประชาคมโลกอยู่ ก็เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบตัดสินใจผ่อนปรนมากขึ้น เพราะหากยังเข้มงวดลักษณะนี้ต่อไป ย่อมไม่เป็นผลดี ทั้งต่อการเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตย และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลก ให้ไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก”

ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า เมื่อเทียบกับการทำประชามติที่แคว้นคาตาลัน ในประเทศสเปน ซึ่งปลุกระดมในเรื่องที่แรงกว่าอย่าง “ขอแยกดินแดน” รัฐบาลก็ให้จัดเวทีไฮด์ปาร์กแสดงความคิดเห็นเต็มที่ นอกจากนี้ยังสนับสนุนงบประมาณเพื่อออกเอกสารสนับสนุนฝ่ายเห็นด้วยกับการแยกดินแดน

ขณะเดียวกัน เมื่อมีปัญหาเอกสารปลอม หรือการปลุกระดมด้วยเอกสารเท็จ รัฐก็ไม่ได้ใช้อำนาจฟ้องหรือแจ้งความ แต่เปิดพื้นที่ให้ผู้รู้มาอธิบายข้อเท็จจริงแทนโดยยึดหลักการต่อสู้ข้อมูลเท็จด้วย “เสรีภาพในการแสดงออก” ไม่ใช่ใช้อำนาจกดดัน

“ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการปลุกระดมคลั่งชาติ หรือขวาจัด ก็จัดเวทีให้พูดกันจนใจเย็นลง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา เขารู้ว่ายิ่งห้าม ก็ยิ่งมีข่าวลือ ยิ่งมีความเท็จ และยิ่งไปจับ ก็ยิ่งเดือดดาล ยิ่งในยุโรป ยึดหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ยิ่งทำให้รัฐบาลต้องระวังการแสดงออกในช่วงประชามติมากๆ” ทศพล ระบุ

สำหรับการลงประชามติวันที่ 7 ส.ค.นั้น ทศพล ยังเชื่อว่ารัฐบาล คสช.น่าจะใช้กฎหมายรุนแรงในการจัดการกับผู้ที่รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญต่อไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญออกมารับรองว่า พ.ร.บ.ประชามติ ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งวิธีดังกล่าวต้องยอมรับว่าได้ผล เพราะคนที่กล้าเสี่ยงกับ “คุกทหาร” จะน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่มีใครกล้าทำอะไร

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีปฏิกิริยาจากต่างประเทศ เช่น เอกอัครราชทูตประเทศยุโรปออกมาแสดงความกังวลก็น่าจะทำให้รัฐบาลไทยลดการจับแบบ “หว่านแห” มากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เคยมีเอกอัครราชทูตไปเยี่ยมบ่อยๆ

“หลักนิติธรรมถือเป็นเสาหลักหนึ่งของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องเคารพเสียงทุกคน เพื่อสร้างกติกาพื้นฐานที่สุดในการอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะในยามขัดแย้งสูง เขาเชื่อว่า ถ้ากติกาดีมาจากกระบวนการดีมาจากการยอมรับของทุกฝ่าย น่าจะเป็นไปได้มากกว่า ยึดกันไปมาแบบตามอำเภอใจ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ในที่สุด ทุนข้ามชาติก็ไม่เชื่อถือ และจะทำนายสถานการณ์ในอนาคตยาก”

“ถ้ามองประวัติศาสตร์ยุโรปยาวๆ จะเห็นชัดว่าประเทศพวกนี้ตกผลึกแล้วว่า การไม่มีกติกา ไม่รักษากติกา สุดท้ายทุนจะไม่เอาคือ ถอนทุนออกไปพื้นที่อื่น ซึ่งเสถียรภาพมากกว่า หรือไม่ก็อยู่เบื้องหลังสนับสนุนเผด็จการไปเลย” ทศพล ระบุ

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด เคาท์ดาวน์ 2569 เซ็นทรัลเวิลด์ ไอคอนสยาม วันแบงค็อก