ยิ่งสกัด ยิ่งบานปลาย
สัญญาณที่น่ากลัวอยู่ที่เริ่มปรากฏแนวร่วมออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นจากแต่ก่อน แม้จะมีความพยายามใช้มาตรการเข้มงวดมาสกัด แต่ไม่ได้ทำให้จำนวนกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวลดน้อยลงมีแต่จะเพิ่มขึ้น
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ประเดิมเอาผิดผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ รายแรก เมื่อ สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้าแจ้งความว่าผู้ใช้เฟซบุ๊ก กองทุนหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น หลังพบว่าโพสต์ข้อความชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรืออาจถูกห้ามเลือกตั้ง 5 ปี
เรียกได้ว่าเป็นการกระชับอำนาจในมือของ กกต. เมื่อการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดมาตรา 61 (2) เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อความที่มีลักษณะที่รุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม ข่มขู่ เชื่อมโยง เพื่อให้รับ-ไม่รับ
ที่สำคัญ ประเมินว่าเป็นการส่งสัญญาณเอาจริงเพื่อสกัดไม่ให้กลุ่มรณรงค์ต้านร่างรัฐธรรมนูญลุกลามขยายวงไปมากกว่านี้
สอดรับไปกับอีกด้านหนึ่งเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวประชาชน 10 คน โดย 8 รายในพื้นที่กรุงเทพฯ คุมตัวไปที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.) 11 และอีก 2 รายที่ค่าย มทบ.23 จ.ขอนแก่น โดยใช้อำนาจผ่านมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จากพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อพูดคุย และขอความร่วมมือและสอบสวนร่วมกันระหว่าง คสช. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
เบื้องต้นอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ โดยยังไม่มีใครถูกตั้งข้อหา สำหรับกรณี 2 รายที่ถูกคุมตัวที่ มทบ.23 กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยพื้นที่จังหวัดขอนแก่น (กกล.รส.จว.ขอนแก่น)ชี้แจงว่า ทั้งสองคนโพสต์ข้อความในเชิงต่อต้านการทำงานของรัฐบาล
จากข้อมูลพบว่าทั้งสองคนเชื่อมโยงอยู่กับ อานนท์ นำภา ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประชาธิปไตยใหม่และพลเมืองโต้กลับ
อีกด้านหนึ่งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อานนท์ กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นัดหมายประชาชนมายืนเฉยๆ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกรณีทหารบุกจับทั้ง 10 ราย สุดท้ายตำรวจได้จับกุมประชาชนทั้ง 16 คน นำตัวไปยัง สน.พญาไท เพื่อทำประวัติ
มีเพียงการแจ้งข้อหา อานนท์ เพียงรายเดียว ในฐานะผู้นัดหมายจัดให้มีการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ มีฐานความผิดตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 28 มีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หลังจากนี้ในส่วนของอานนท์ ทางเจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวกลับไปตามปกติ
ทั้งสามเหตุการณ์ล้วนแต่ตอกย้ำถึงมาตรการคุมเข้มสกัดกลุ่มป่วนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลและคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่
โดยใช้อำนาจในมือ ทั้งมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ และ พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ จนยากที่กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐธรรมนูญจะขยับตัว
แถมล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ยังส่งสัญญาณไปถึงบรรดาผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหลาย “ขอฝากประเทศไว้กับผู้ว่าฯ อย่าไปจงรักภักดีกับนายเก่า แล้วอย่าเอาเรื่องต่างๆ ไปรายงานเพื่อขอความเห็น มันหมดสมัยของนักการเมืองแล้ว ขอให้ถอยออกไป และถ้าผมจะไป ผมก็จะไปเมื่อหมดเวลาในการบริหารราชการแผ่นดิน และจะเอาคนไม่ดีออกไปด้วย ผมพร้อมใช้มาตรา 44 ปรับย้ายทุกวัน ผมพูดไม่ได้ขู่ แต่ทำจริง”
ทุกอย่างมุ่งสู่เป้าหมายเดียว คือสร้างความสงบและผลักดันร่างรัฐธรรมนูญให้ผ่านประชามติให้ได้
ปัญหาอยู่ที่การใช้ยาแรงอย่างต่อเนื่องและยาวนานเกินไป แทนที่จะสามารถสะกดความเคลื่อนไหวต่างๆ ไว้ได้ ตรงกันข้ามอาจกลายเป็นการสะสมแรงกดดันที่รอวันปะทุ แถมยังจะมีแนวร่วมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ยิ่งในบรรยากาศใกล้การออกเสียงลงประชามติ ที่ควรจะเปิดให้แต่ละฝ่ายในสังคมได้นำเสนอข้อมูลความคิดเห็นมุมมองต่อร่างรัฐธรรมนูญอย่างรอบด้าน เพื่อให้การออกเสียงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการให้ข้อมูลเฉพาะจากฝั่งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่จะนำเสนอแต่ข้อดี
สัญญาณที่น่ากลัวอยู่ที่เริ่มปรากฏแนวร่วมออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นจากแต่ก่อน แม้จะมีความพยายามใช้มาตรการเข้มงวดมาสกัด แต่ไม่ได้ทำให้จำนวนกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวลดน้อยลงมีแต่จะเพิ่มขึ้น
ทั้งการนัดรวมตัวกันตามสถานีรถไฟฟ้า ที่รวมตัวกันได้ง่าย รวดเร็ว และรวมแนวร่วมได้เยอะ ยากต่อการที่เจ้าหน้าที่จะติดตามสกัดกั้น ดังจะเห็นว่าเวลานี้เริ่มนัดกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะถูกคุมตัว
อีกทั้งยังมีปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดียที่เพิ่มมากขึ้น อันจะกลายเป็นเวทีที่ปลุกให้กลุ่มต้านรวมตัวกันได้มากขึ้นและยากจะสกัด สุดท้ายจะทำให้กลุ่มป่วนกลุ่มต้านผนึกกำลังกันได้รวดเร็ว และกลายเป็นแรงเสียดทานที่สั่นคลอนรัฐบาล คสช.ต่อไปในอนาคตที่ยากจะควบคุม


