กรธ.-สนช.เชื่อมรอยร้าว สู้ศึกประชามติรธน.
การเมืองไทยว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญเดินมาถึงหลักกิโลเมตรที่สำคัญอีกครั้ง ภายหลัง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
การเมืองไทยว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญเดินมาถึงหลักกิโลเมตรที่สำคัญอีกครั้ง ภายหลัง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มีผลบังคับใช้และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย.
เหตุที่บอกว่าเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญ เนื่องจากการที่กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ย่อมหมายความว่าเป็นการนับหนึ่งกระบวนจัดให้มีการออกเสียงอย่างเป็นทางการ ซึ่งหนึ่งในนั้นหมายรวมถึงการบังคับใช้มาตรการเกี่ยวกับการควบคุมความสงบระหว่างการออกเสียงประชามติด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงที่กฎหมายประชามติยังไม่มีผลบังคับใช้ว่า “รณรงค์ให้รับหรือไม่รับก็ไม่ได้ทั้งนั้น กฎหมายมีบทลงโทษถึง 10 ปี ถ้าไม่กลัวก็ตามใจ สื่อก็โดนด้วย ขอให้ไปบอกแก่นายทุนสื่อด้วย วันนี้ปล่อยไปก่อน แต่ถ้ากฎหมายออกมาเมื่อไหร่จะโดนเมื่อนั้น จะฟ้องศาลกันหมด”
การส่งสัญญาณดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต่างอะไรกับการเตือนฝ่ายตรงข้ามครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนี้จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้มีใครออกมาทำลายความสงบระหว่างการทำประชามติ โดยเฉพาะการปะทะกันทางความคิดระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ
มาตรการควบคุมความสงบที่ว่านั้นบัญญัติอยู่ในมาตรา 61 ของกฎหมายประชามติ
“ผู้ใดดําเนินการเผยแพร่ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนดไม่เกินห้าปีด้วยก็ได้”
แม้การควบคุมการแสดงความคิดเห็นจะเป็นไปอย่างเข้มข้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามของ คสช.ได้ เพราะยังมีการแสดงความคิดเห็นในทำนองเชิญชวนให้ประชาชนลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
เมื่อกฎหมายประชามติมีแนวโน้มยากต่อการควบคุมเกมของฝ่ายต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญได้ จึงเป็นเหตุผลให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้องกลับมาประสานเสียงเล่นดนตรีเพลงเดียวกันอีกครั้ง
เดิมทีแม่น้ำ 2 สายนี้แสดงท่าทีขอเลือก “ทางใครทางมัน” โดย สนช.ในฐานะผู้มีหน้าที่ชี้แจงต่อประชาชนให้เข้าใจถึงคำถามพ่วงประชามติต้องการขออาศัย กรธ.ไปร่วมเวทีประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญด้วย แต่ กรธ.ปฏิเสธ
กรธ.เห็นว่าคำถามพ่วงของ สนช.ที่ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติหลักของร่างรัฐธรรมนูญที่ กรธ.กำหนดไว้ที่ให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นฝ่ายเลือกนายกฯ เพียงฝ่ายเดียว
“อาจสร้างความสับสนได้ คล้ายกับ กรธ.ที่มีหน้าที่ชี้แจงสาระของร่างรัฐธรรมนูญ เป็นคนขี่จักรยาน แต่ สนช.ที่มีหน้าที่ชี้แจงคำถามประกอบประชามติ เป็นคนซ้อนท้ายจักรยาน หากคนขี่บอกว่าไปได้ แต่คนซ้อนบอกว่าต้องอีกทาง อาจทำให้คนฟังเกิดความสับสนได้” ท่าทีของ ชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษก กรธ. เมื่อวันที่ 19 เม.ย.
ปรากฏว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 25 เม.ย. “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธาน กรธ. ส่งสัญญาณยอมเปิดทางให้ สนช.มาร่วมลงเรือลำเดียวกันได้
“มีความกังวลว่า ถ้า กรธ.และ สนช.ไปชี้แจงคนละครั้ง อาจจะยิ่งทำให้ประชาชนมีความสับสน โดย กรธ.จะอธิบายในส่วนของรายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่ สนช.จะได้อธิบายในเรื่องของคำถามพ่วง ซึ่งจะได้ช่วยกันชี้แจง เพราะถ้าเราต่างคนต่างไป จะเสียเวลาของชาวบ้านที่ต้องมาฟัง” ประธาน กรธ.ระบุ
เหตุผลหลักที่ทำให้ “กรธ.-สนช.” ต้องกลับมาจับมือเดินไปด้วยกัน คือ กระแสต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญทวีความรุนแรงมากขึ้น
นับตั้งแต่เกิดประเด็นทางการเมืองทั้งกรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คุมตัว “วัฒนา เมืองสุข” แกนนำพรรคเพื่อไทย ไปจนถึงการแต่งตั้งคนในครอบครัว พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นทหาร ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์พุ่งตรงมาที่ คสช.เข้าเต็มๆ
บรรยากาศการเมืองที่ระอุมากขึ้นนี้ย่อมส่งผลต่อการทำประชามติด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการตัดสินใจลงคะแนนของประชาชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่มีอารมณ์ของสังคมที่มีความพึงพอใจ คสช.หรือไม่มาเป็นปัจจัยด้วย
มาถึงจุดนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการผนึกร่วมกันของ กรธ.และ สนช. เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับ คสช.ในระยะยาวและระยะเปลี่ยนผ่าน


