"ร่างแรกรัฐธรรมนูญ" เสียงค้านรุมเร้า
เสียงสะท้อนต่อร่างแรกรัฐธรรมนูญที่ปรากฏเวลานี้ เต็มไปด้วยข้อท้วงติง ความเป็นห่วง จนถึงขั้นคัดค้าน
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
คืบหน้าไปแล้วกว่า 90% สำหรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจาก มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พาคณะไปยกร่างกันที่ชะอำ จ.เพชรบุรี จนเสร็จไปแล้ว 261 มาตรา เหลือเพียงแค่ส่วนบทเฉพาะกาลที่จะกลับมาพิจารณาต่อสัปดาห์นี้
ทว่าสัญญาณไม่สู้ดีนักเมื่อเสียงสะท้อนต่อร่างแรกรัฐธรรมนูญที่ปรากฏเวลานี้ เต็มไปด้วยข้อท้วงติง ความเป็นห่วง จนถึงขั้นคัดค้านไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาในหลายส่วนที่อาจบานปลายมีปัญหาในอนาคต
เริ่มตั้งแต่เรื่องแรกระบบเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ที่ใช้การลงคะแนนบัตรเดียว แต่นำคะแนนมาคำนวณที่นั่งทั้ง สส.เขต และ สส.ระบบสัดส่วน ด้วยคำชี้แจงว่าจะทำให้ทุกคะแนนไม่เสียเปล่า
แต่อีกด้านหนึ่งกลับถูกโจมตีว่าเป็นกลไกสกัดไม่ให้พรรคหนึ่งพรรคใดได้เสียงข้างมากแบบถล่มทลาย หวังว่าจะเป็นช่องทางบีบให้แต่ละพรรคหันมาปรองดองจับมือกันตั้งรัฐบาลในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ถูกมองว่าจะทำให้กลไกเลือกตั้งไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนที่เลือกพรรคขนาดใหญ่ เพราะสุดท้ายเสียงที่จะมีอำนาจจะกลายเป็นเสียงพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่จะเป็นตัวแปรจัดตั้งรัฐบาล จนทำให้บางครั้งมีอำนาจมากกว่าพรรคขนาดใหญ่ ดังจะเห็นจาก
บทเรียนในอดีต
ประเด็นถัดมาคือเรื่องที่มา สว. แม้ในร่างรัฐธรรมนูญจะปรับลดอำนาจที่สำคัญคืออำนาจ “ถอดถอน” แต่ที่มาแบบสรรหากันเอง ไขว้กันแต่ละกลุ่มสาขาอาชีพ ที่ถูกถล่มว่านอกจากไม่อาจป้องกันการฮั้วได้แล้ว ยังอาจไม่สะท้อนสภาพข้อเท็จจริงที่ให้กลุ่มสาขาอาชีพอื่นมาเลือกตัวแทนจากอีกกลุ่มสาขาอาชีพ
ดังจะเห็นจากเสียงสะท้อนของ วันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มองว่าวิธีการเลือกกันเองแบบไขว้น่าจะเป็นปัญหาและอาจจะทำให้ไม่สามารถคัดกรองคนดี มีความรู้ความสามารถมาเป็น สว.ได้ และจะทำให้เกิดการบล็อกโหวต แลกคะแนนกันเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการใช้เงินซื้อคะแนนกันได้ ดังที่เคยปรากฏมาแล้วในบางองค์กร ซึ่งที่สุดแล้วก็จะทำให้ไม่ได้คนดี
“กรธ.จึงไม่ควรจะมากำหนดวิธีการแบบนี้ เพราะเป็นสิ่งชำรุดในอดีตที่ไม่ควรจะมีในรัฐธรรมนูญ”
ประเด็นนายกรัฐมนตรีคนนอก ที่ กรธ.เห็นว่าจำเป็นต้องเปิดทางไม่ล็อกให้นายกฯ ต้องเป็น สส.เท่านั้น ป้องกันปัญหาไม่ให้เกิด “ทางตัน” เหมือนในอดีต โดยระบุให้แต่ละพรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ 3 คน ก่อนเลือกตั้ง เพื่อลดข้อครหานายกฯ คนนอกที่รุนแรงในช่วงที่ผ่านมา
แต่ทางออกเรื่องเสนอชื่อ 3 ชื่อก็ไม่ยังมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ตรงจุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ เห็นว่าเป็นความพยายามแก้ไขปัญหาที่จะพันกันเอง
ทั้งนี้ ตามหลักพื้นฐานแล้วนายกฯ ควรจะมาจาก สส. ยกเว้นกรณีที่เกิดวิกฤตที่อาจจะมีการเปิดช่องไว้ได้ แต่ไม่ใช่เป็นการเปิดไว้เป็นการทั่วไป เพราะหากเกิดวิกฤตและต้องการนายกฯ เข้ามาแก้ไขปัญหาจริงๆ แล้ว การให้พรรคเมืองเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ ก็ถือจะเป็นข้อจำกัด
อีกประเด็นคือผู้ที่จะเป็น สส.เขตต้องได้คะแนนมากกว่าโนโหวต ซึ่ง จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ เห็นว่าในหลายพื้นที่ภาคใต้และภาคอีสาน ถ้ามีพรรคการเมืองไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง หรือขัดขวางการเลือกตั้ง แล้วรณรงค์ให้โหวตโน ก็จะไม่มีทางได้ผู้แทนราษฎรในเขตนั้น
ศาลรัฐธรรมนูญก็จะวินิจฉัยว่าบ้านเมืองเกิดวิกฤตจำเป็นต้องมีรัฐบาลมาบริหารประเทศ เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งจะสามารถลงมติเลือกคนนอกมาเป็นนายกฯ และอยู่บริหารประเทศอีกนานๆ เท่ากับยึดอำนาจโดยไม่ต้องรัฐประหาร
ไม่ต่างจากนวัตกรรมใหม่ในร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดอำนาจองค์กรอิสระ 3 องค์กร ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะผู้จัดการเลือกตั้งและตรวจสอบนโยบายหาเสียง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะผู้ตรวจสอบการทุจริตทุกกรณี และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ในฐานะผู้ตรวจสอบเกี่ยวกับการเงินตามระเบียบ จัดการประชุมหารือร่วมกันเพื่อส่งข้อตักเตือนไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้การดูแลของนายกฯ และสภาผู้แทนราษฎร กรณีที่พบว่าการดำเนินงานของรัฐบาล ทั้งระดับนโยบายหรือได้ลงมือกระทำไปแล้ว ส่อว่าจะสร้างความเสียหายแก่ประเทศระยะยาว
เสียงสะท้อนจากฝ่ายการเมืองออกมาทางเดียวกัน นี่อาจทำให้องค์กรอิสระที่มาจากการสรรหาซึ่งไม่ยึดโยงกับประชาชน มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ ยิ่งกว่ากรณีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่เคยคิดจะมีไว้เผื่อผ่าทางตัน
นี่เป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนเบื้องต้นที่ยังไม่รวมกับเนื้อหาในส่วนของ “บทเฉพาะกาล” ที่กำลังจะเริ่มต้นพิจารณาทำกัน
นับจากนี้ต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะมีอีกหลายปมที่จะนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไล่มาตั้งแต่เรื่องนิรโทษกรรมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ร่างแรกรัฐธรรมนูญนี้จึงเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงที่จะไม่ผ่านความเห็นชอบในขั้นตอนการลงประชามติ สอดรับไปกับท่าทีการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่เริ่มเห็นหลายฝ่ายประกาศออกตัวไปแล้ว


