"บิ๊กตู่" ง้อหมออาวุโส เลี่ยงขยายปมใหม่
การตามง้อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปยังหมอประเวศ จึงยังเกิดขึ้นต่อไป ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ ตระกูล ส. ต้องทำงานต่อได้
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
จะด้วยความผิดพลาดหรือความตั้งใจก็แล้วแต่ แต่การนำหน่วยงานตรวจสอบอย่าง คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ (คตร.) เข้าไป “เล่นงาน” หน่วยงานอย่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นพวก “ตระกูล ส.” หรือองค์กรในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ก็ทำให้รัฐบาลสูญเสียแนวร่วมสำคัญที่ร่วมเชียร์กันมาตั้งแต่ต้นไปหลายคน
ที่สำคัญที่สุดคือตัว ศ.นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งมีสัมพันธ์อันดีกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มาช้านาน ที่ยอมเป็น “นั่งร้าน” ให้กับโครงการ “ประชารัฐ” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเชื่อมรัฐ-ภาคประชาชนเข้าไว้ด้วยกัน โดยเป็นหมุดหมายสำคัญ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้นบ้าง หลังชะงักงันมานานหลายปี
เมื่อคำสั่งมาตรา 44 ผ่าเปรี้ยงลงมาที่บอร์ด สสส. ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหมอประเวศกับรัฐบาลทหารขาดผึงทันที พร้อมกับเสียงจากราษฎรอาวุโสที่เชือดนิ่มๆ ว่า “คสช.กำลังพลาด”
สำทับด้วยเสียงจาก นพ.มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สธ. ที่ออกมายอมรับความผิดพลาดหลังร่วม “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” โยนระเบิดลูกใหญ่ว่า รัฐบาลปัจจุบันแย่ยิ่งกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสียอีก
ขณะเดียวกัน “รอยร้าว” ก็ยังส่งผลชัด เมื่อหมอประเวศตัดสินใจยกเลิกเข้าร่วมเปิดงาน “ความสำคัญและทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” อย่างกะทันหัน ด้วยเหตุที่ขุ่นเคืองกับ คสช.มาก่อนหน้า และด้วยเหตุที่คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ “ประชารัฐ” เต็มไปด้วยกลุ่มทุน ซึ่งรวมถึงทุน “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันก่อนหน้านี้
แม้จะมีเสียงแก้เกี้ยวจากคนใกล้ชิดรัฐบาลว่าเป็นการตัดสินใจที่ “ผิดคิว” แต่ก็ได้สั่นคลอนความไว้วางใจระหว่างประชาสังคม สังกัดประเวศ และ คสช.ไปเรียบร้อย
หากเป็นความตั้งใจก็สะท้อนชัดว่า คสช.ตัดสินใจเลือกข้างเกมการเมืองในกระทรวงหมอ ด้วยการสนับสนุนข้าราชการประจำ และสายหมอโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งเป็นขั้วอำนาจเดียวกับ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อดีตปลัด สธ. ในการจัดการกับบรรดาคู่ปรับเดิม รวมถึงสถาปนาอำนาจให้สายข้าราชการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังถูก “ตระกูล ส.” แบ่งทั้งอำนาจ แบ่งทั้งเงิน ไปเป็นเวลาช้านาน
ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า เพราะเหตุใดทั้ง คตร. และศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลโดยตรงของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อน วปอ.รุ่นเดียวกับหมอณรงค์ จึงเข้าไปตรวจสอบเรื่อง “การใช้เงินผิดประเภท” ในองค์กรตระกูล ส. อย่างคึกคักเข้มแข็งนัก ทั้งที่ในหน่วยงานราชการอื่นๆ ก็ปรากฏเรื่องการใช้เงินผิดประเภทเช่นเดียวกัน
กับอีกส่วนหนึ่งก็คือ การตัด “ท่อน้ำเลี้ยง” สำคัญ ให้บรรดาเอ็นจี-ภาคประชาชนง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถออกแรงต่อต้านโครงการของรัฐได้เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ ที่ไม่ว่าจะเริ่มโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือเปิดสัมปทานปิโตรเลียม ก็มักจะมี “มวลชน” หน้าคุ้นๆ เข้ามาต่อต้านอยู่เนืองๆ
ฝ่าย เสธ.จึงรู้ดีว่า หากปราศจากเส้นทางการเงินจาก สสส. ย่อมทำให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐเคลื่อนตัวได้สะดวกกว่า มีแรงเสียดทานน้อยกว่า รวมถึงถือโอกาสสร้างความสงบเรียบร้อยได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะมีการปลดบอร์ด สสส. 7 คน โดยอ้างเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว ยังสำทับด้วยปัญหาหมักหมม อย่างการที่ คตร.ฟรีซเงินไม่ให้อนุมัติโครงการที่มีมูลค่าเกิน 5 ล้านบาท กว่า 500 โครงการ จนส่งผลกระทบกับภาคีสสส.กว่า 1 หมื่นคน รวมถึงการให้กรมสรรพากรเข้าไปไล่เบี้ยภาษีย้อนหลัง จนภาคประชาชนอ่วมอรทัยกันถ้วนหน้า
ขณะที่ สปสช.ก็ถูกคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความจำกัดการใช้เงิน รวมถึงยังไร้หัวอยู่ถึงทุกวันนี้ หลังซีอีโอถูกคำสั่งมาตรา 44 ดองหยู่หลายเดือน จนคาดว่าไม่มีโอกาสจะได้กลับมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายาม “ตามง้อ” จาก พล.อ.ประยุทธ์ เพราะรู้ดีว่าเครือข่ายตระกูล ส. และเครือข่ายเอ็นจีโอนั้นเป็นกลุ่มที่เสียงดัง รวมถึงมีบทบาทสำคัญพอสมควรในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสังคม-สุขภาพ รวมถึงมีความพยายามต่อรองโดย “ผู้ใหญ่” บางคนจากองค์กร สสส.
จึงมีเสียงขอโทษออกจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่าการตัดสินใจของตัวเองอาจทำให้วงการหมออาวุโสไม่พอใจ รวมถึงอาจมีการคืนตำแหน่งให้กับบอร์ดบางคนที่ถูกให้พ้นไปจากตำแหน่งก่อนหน้านี้อีกด้วย
เพราะรู้ดีว่าหากปล่อยให้ความขัดแย้งกับกลุ่มหมอชนบทอาวุโสเรื้อรังต่อไป ย่อมไม่เป็นผลดีใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะมีปัญหาขัดเคืองกับกลุ่มที่เคยเป็นกองเชียร์รัฐบาล เนื่องจากกลุ่มนี้นอกจากจะเสียงดังแล้ว ยังมีเครดิตทางสังคมครอบคลุมเอ็นจีโอ-ภาคประชาชนทั่วประเทศอยู่มาก
การตามง้อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปยังหมอประเวศ จึงยังเกิดขึ้นต่อไป ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ ตระกูล ส. ต้องทำงานต่อได้ ไม่มีการส่งคนมาครอบงำ สสส. หรือ สปสช. อย่างที่มีความพยายามก่อนหน้านี้ ส่วนองค์กรอย่าง สสส. ก็จะปรามบรรดาภาคีให้เคลื่อนไหวในเรื่องที่จำกัดวงแคบในเรื่อง “สุขภาพ” เท่านั้น
ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ขอให้ดูคำสั่งคืนตำแหน่งกรรมการ สสส. รวมถึงการแต่งตั้งผู้จัดการ สสส.คนใหม่ ที่น่าจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้


