posttoday

ปรองดองยังริบหรี่

14 มกราคม 2559

สะดุดตั้งแต่ยังไม่ทันออกตัว สำหรับกมธ. วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุขที่มี พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ เป็นหัวหอกผลักดัน แต่เกิดผิดคิวจนแผนต้องเลื่อนออกไปสัปดาห์หน้า

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สะดุดตั้งแต่ยังไม่ทันออกตัว สำหรับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข ที่มี พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ เป็นหัวหอกผลักดัน แต่เกิดผิดคิวจนแผนต้องเลื่อนออกไปสัปดาห์หน้า

สอดรับกับสัญญาณเบรกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกมาระบุว่า “ยังไม่ถึงเวลา”

ที่สำคัญหากวิเคราะห์รายละเอียด ทั้งกระบวนการทำงาน บุคคลที่มาเป็น กมธ. ตลอดจนอำนาจหน้าที่และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ คงยากจะฝากความหวังเรื่องการปรองดองไว้กับ กมธ.ชุดนี้

เริ่มตั้งแต่ประการแรกสัดส่วน กมธ. 15 คน ที่จะมาจากทุกฝ่ายเพื่อหารือเรื่องการปรองดองสร้างสันติสุข ก็เริ่มเห็นแววว่าจะไปไม่รอด เมื่อคู่ขัดแย้งโดยตรงประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมเป็น กมธ.

ทั้งฝั่ง “เสื้อแดง” ที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยืนยันชัดเจนว่า เคยประกาศจุดยืนมาแต่ต้นแล้วว่าจะไม่เข้าไปรับตำแหน่งใดๆ ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารอย่างเด็ดขาด หากใครจะเข้าร่วมก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ต้องไม่เข้าไปในนาม นปช.

แถมถล่มซ้ำว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางปรองดอง เพราะเมื่อถูกชวนไปร่วมหารือแนวทางในหลายคณะก็ไป แต่สุดท้ายก็หน้าแตกอีกตามเดิม เพราะไม่มีผลใดๆ ในทางปฏิบัติ

ส่วนฝั่ง “ประชาธิปัตย์” นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ระบุว่า พรรคจะไม่ส่งคนเข้าร่วม ถ้าใครได้รับการติดต่อคงต้องไปในนามส่วนตัว แต่เชื่อว่าไม่มีใครไปร่วม ด้วยเหตุผล กมธ.วิสามัญชุดดังกล่าว อาจพูดคุยเรื่องนิรโทษกรรมที่พรรคคัดค้านมาแต่ต้น

จะมีก็แต่เพียงทางฝั่ง กปปส. ที่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิ กปปส. ออกตัวว่ายินดีที่จะเข้าร่วม หากมีการเชิญก็พร้อมให้ความร่วมมือ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กระบวนการตั้ง กมธ.ต้องเลื่อนออกไป เพราะหากเป็นเช่นนี้ สัดส่วน กมธ. 24 คน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีจำนวนทั้งหมด 14 คน อาทิ พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์ พล.อ.อักษรา เกิดผล สนิท อักษรแก้ว นิพนธ์ นราพิทักษ์กุล อนุศาสน์ สุวรรณมงคล อิสระ ว่องกุศลกิจ

ขณะที่อีก 10 คนที่เป็นคนนอก และมีความพยายามต่อรองขอโควตาเพิ่มนั้นมีก็จะเป็นเพียงแค่นักวิชาการและบุคคลอื่นๆ ที่ยังขาดคู่ขัดแย้งหลักที่จะเป็นกลไกสำคัญช่วยสร้างความปรองดอง   

ดังนั้น การจะใช้เวทีนี้เป็นจุดเริ่มสร้างความปรองดองจึงเป็นไปได้ยาก ยิ่งหากพิจารณากระบวนการทำงานแล้วยังแทบไม่เห็นความแตกต่างจากกรรมการชุดอื่นๆ ที่ผ่านมาซึ่งเคยทำเรื่องนี้

ไล่มาตั้งแต่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ของ คณิต ณ นคร, คณะกรรมาธิการในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์, กรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของ ดิเรก ถึงฝั่ง, หรือแม้แต่ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ของ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์

หากไม่มี “กลไก” หรือ “อำนาจ” ที่แตกต่างไปจากเดิม ผลลัพธ์สุดท้ายย่อมไม่ต่างจากเดิมคือได้รายงานสรุปข้อเสนอที่ไม่น่าจะแตกต่างจากชุดอื่นๆ ที่ผ่านมา

ไม่แปลกที่ ทิพอาภา สุฉันทบุตร มารดาของ วสุ สุฉันทบุตร ที่เสียชีวิตจากการเข้าร่วมชุมนุมหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2556 จะออกตัวว่ารู้สึกหมดหวังกับคณะกรรมการปรองดองทุกชุดที่ผ่านมา เพราะไม่เคยเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม สะท้อนถึงความไม่จริงจังและไม่จริงใจที่จะสร้างความปรองดอง

“เคยเข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการหลายชุด ได้รับฟังแต่เรื่องซ้ำๆ จัดในโรงแรมหรู จ่ายค่าพาหนะ และสรุปผลการประชุม แต่ไม่เคยเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้” ทิพอาภา ระบุ

ยิ่งโจทย์ใหญ่อย่างเรื่อง “นิรโทษกรรม” ที่หลายฝ่ายมองกันว่าเป็น “กุญแจ” ไปสู่ความปรองดองนั้น เวลานี้แต่ละฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งยังเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งหากเลือกเดินหน้าไปอย่างใดอย่างหนึ่งอาจยิ่งสร้างความขัดแย้งมากกว่าจะสร้างการปรองดอง

ด้านหนึ่ง ประชาธิปัตย์ ยืนยันชัดเจนว่าไม่เอานิรโทษกรรมพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ทางฝั่งเสื้อแดงหรือเพื่อไทยมีความหวังลึกๆ ที่ต้องการจะผลักดันนิรโทษกรรมเพื่อเซตซีโร่ให้ทุกอย่างกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ นี่จึงเป็นเส้นขนานที่ยากจะหาทางออก

ที่สำคัญที่สุดคือ “อำนาจ” ของ กมธ.ชุดนี้ ที่หากเป็นไปตามที่ พล.อ.อกนิษฐ์ ระบุว่า ก็เท่ากับเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่เส้นทางปรองดอง แต่อำนาจที่แท้จริงที่จะหยิบไปปฏิบัติย่อมอยู่กับทางรัฐบาลและ คสช. ไม่ว่าจะนิรโทษกรรมหรือใช้อำนาจพิเศษเคลียร์ข้อจำกัดต่างๆ

แต่เห็นสัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกตัวว่า “ยังไม่ถึงเวลา” เส้นทางปรองดองนับจากนี้จึงยังคงริบหรี่เต็มที

ข่าวล่าสุด

SMEs ไทย อนาคตยั่งยืน ผ่านโครงการ SIP 2025 เปลี่ยนแนวคิดสู่การลงมือ