posttoday

ปมทุจริตราชภักดิ์ ยิ่งจับยิ่งสุมไฟ

22 ธันวาคม 2558

การตัดสินใจเลือกใช้ไม้แข็งจัดการสกัดความปั่นป่วน อาจกลายเป็นการเติมหรือการเร่งอุณหภูมิการเมืองให้ร้อนแรง

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ 

แรงกระเพื่อมก่อตัวอีกรอบ​ ทั้งที่กระแสร้อนกำลังจะเงียบหาย ​เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ออกหมายเรียกจ่านิว-สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กับพวกรวม 11 คน ในข้อหามั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ​

ผลพวงจากกิจกรรม “นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง” ของกลุ่มประชาธิปไตยศึกษาและกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. แต่สุดท้ายกลับไปไม่ถึงเป้าหมาย เนื่องจากถูกสกัดและคุมตัวกลุ่มนักศึกษาที่สถานีบ้านโป่ง จ.ราชบุรี

ควันหลงที่เกิดขึ้นนี้ ​เมื่อชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว แทนที่จะเป็นการสกัดความเคลื่อนไหว ตรงกันข้ามผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะเป็นการเติมเชื้อให้เกิดความขัดแย้งและนำไปสู่ความปั่นป่วนในอนาคตมากกว่า

ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาเงื่อนงำความไม่โปร่งใสในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เป็นแผลใหญ่ที่หลายฝ่ายจ้องถล่ม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องความถูกต้อง​ หรือเหตุผลเรื่องการเมือง

แถมยังเป็น “จุดอ่อน” ที่อาจทำให้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องสะดุดก่อนถึงจุดหมายปลายทาง จนต้องหาหาทางสกัด ตัดตอน ไม่ให้แผลนี้ลุกลามไปกว่าที่เป็นอยู่ 

ดังจะเห็นความพยายามสกัดการเคลื่อนไหวใดๆ ที่สุ่มเสี่ยงเข้าข่าย​ขุดคุ้ย ขยายผล หรือดิสเครดิต ที่อาจกลับมากระทบถึงกองทัพและรัฐบาล คสช. ทั้งที่อีกด้านหนึ่งย่อมต้องถูกมองว่าเข้าข่ายปกปิดความผิด และยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม

แต่การเลือกใช้วิธี “ตัดตอน” หรือ “ปิดกั้น” ไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวนั้น อย่างน้อยก็ช่วยให้สถานการณ์เฉพาะหน้าสงบนิ่งไปได้สักพักหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าในทางปฏิบัติอาจเพียงพอต่อการยื้อเวลาออกไปให้ยาวนานที่สุด โดยหวังให้สังคมลืมเลือนไปเองในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ​กรณีนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นเมื่อมีคนออกมาจ้องถล่มอย่างต่อเนื่อง โดยรอจังหวะออกมาเคลื่อนไหว ดังนั้นการปิดกั้นคงทำได้เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราว

ในแง่ของกลุ่มการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง หรือกลุ่มการเมืองต่างๆ นั้น การออกมาขย่มเรื่องนี้ย่อมถูกมองว่าเจือปนไปด้วยเหตุผลทางการเมือง การสกัดการเคลื่อนไหวต่างๆ จึงทำได้ง่าย

ต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่ยิ่งปิดกั้นยิ่งจะสร้างปัญหาให้กับ คสช.​ โดยเฉพาะในสายตาของต่างชาติ ที่จะย้อนกลับมาเป็นแรงกดดันมากขึ้นในอนาคต

ปัญหาอยู่ตรงที่หาก คสช.​ปล่อยให้กลุ่มนักศึกษาเคลื่อนไหวอิสระ อาจถูกกลุ่มอื่นนำมาเป็นข้ออ้างเคลื่อนไหวลักษณะเดียวกันได้ ที่ผ่านมาจึงเห็นกระบวนการสกัดการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในหลายเรื่องๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งนัดรวมตัวกินแซนด์วิช อ่านหนังสือ ต้านปฏิวัติ 

การใช้ช่องทางตามกฎหมายผ่านอำนาจพิเศษในมือเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา ดูจะเป็นเรื่องง่ายที่สุด เพราะหวังว่านักศึกษาจะกลัวเป็นคดี มีประวัติติดตัวและล้มเลิกการเคลื่อนไหวในที่สุด

ไม่ต่างจากเมื่อครั้ง ฐนกร ​ศิริไพบูลย์ และ ​ธเนตร อนันตวงษ์ ถูกคุมตัวจาก​ความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นฯ หลังโพสต์ภาพแผนผังอุทยาน ราชภักดิ์พาดพิงบุคคลอื่น ​

วิเคราะห์แล้วการออกหมายเรียก 11 นักศึกษา ในช่วงที่เรื่องนี้กำลังเงียบไปแล้วนั้น มีเหตุผลสำคัญเพียงเพื่อสร้างความหวาดกลัวในการสกัดการเคลื่อนไหวครั้งต่อๆ ไป

โดยเฉพาะในช่วงอีกไม่กี่วันที่ผลสอบชุดที่ 2 ซึ่งมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน จะสรุปผลก่อนแถลงผลงานรัฐบาลวันที่ 25 ธ.ค.นี้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร มีคนผิด หรือไม่มีคนผิด ย่อมต้องมีแรงกระเพื่อมตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

การ “ตัดไฟแต่ต้นลม” รีบสกัดไม่ให้กลุ่มเดิมๆ ออกมาเคลื่อนไหว ผิวเผินแล้วอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับ คสช. แต่ในทางปฏิบัติอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอาจเป็นการเรียกแขก​ให้ออกมาเคลื่อนไหว

ที่สำคัญนอกจากการไต่สวนของกลาโหมแล้ว ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่กำลังติดตามเรื่องนี้ ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

รวมทั้งล่าสุด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ส่งสัญญาณออกมาเดินหน้าลุยเรื่องนี้ ซึ่งประเมินแล้วน่าจะได้เนื้อได้หนังกว่าชุดอื่นๆ ที่ดำเนินการมาแล้ว และกำลังดำเนินการ​

“เรียนประชาชนว่า ศอตช.ทำตามหน้าที่ การดำเนินการมันมีผู้ผิดผู้ถูกมาก็ต้องให้เวลา ผมพูดเสมอว่า เวลาเราเร่งเราทำแล้วคนที่เกี่ยวข้องก็จะออกมาว่าให้ความเป็นธรรมพวกเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่เขา การตรวจสอบก็ต้องรอบคอบ เพราะเป็นชื่อบุคคลออกมาแล้ว​“

​ห้วงเวลานับจากนี้ จึงเปราะบางสำหรับ คสช. การตัดสินใจเลือกใช้ไม้แข็งจัดการสกัดความปั่นป่วน อาจกลายเป็นการเติมหรือการเร่งอุณหภูมิการเมืองให้ร้อนแรงมากขึ้น