"วิชญะ เครืองาม"คนรุ่นใหม่ปฏิรูปประเทศ
เปิดใจคนรุ่นใหม่ปฏิรูปประเทศ "ดร.โอม" วิชญะ เครืองามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน "วิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี
คีย์แมนคนสำคัญในการปฏิรูปกฎหมายให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นลูกไม้ใต้ต้น วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นั่นคือ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “วิชญะ เครืองาม” หรือ “ดร.โอม” ซึ่งเขาเข้ามารับตำแหน่งประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และรับฟังความเห็น หนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมาย (ทปก.)
ภารกิจในตำแหน่งดังกล่าว คือ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเสนอแนะกฎหมาย คอยติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลกระทบจากการตรากฎหมายสำคัญๆ ให้กับรัฐบาลได้นำไปผลักดัน แก้ไข ปรับปรุง หรือยกเลิก พร้อมกับติดตามความคืบหน้าการตรากฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่ง
“การปรับปรุงกฎหมาย เน้นทำเรื่องปากท้อง การทำมาหากิน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตได้สะดวก โดยเฉพาะการติดต่อธุรกิจกับหน่วยงานราชการ ต้องไม่ล่าช้า หรือซ้ำซ้อน พร้อมกับเน้นการออกกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูป อีกภารกิจที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ งานประชาสัมพันธ์และรับฟังความเห็นตามมาตรา 77 จะเปิดกว้างให้ประชาชนได้เสนอเต็มที่ อยากจะได้กฎหมายอะไร อยากจะให้ยกเว้น หรือยกเลิกกฎหมายอะไร ขอให้เสนอ ทปก.มาได้” วิชญะ ระบุ
ทั้งนี้ ดร.โอม บอกว่า การมีกระบวนการและการวางแผนที่ดี เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปกฎหมาย ดังนั้นจึงแบ่งการทำงานออกเป็น 4 คณะอนุกรรมการ ดังนี้ 1.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจของประชาชน 2.สุรชัย ภู่ประเสริฐ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย ที่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินความจำเป็น 3.คำนูณ สิทธิสมาน ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และ 4.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเสนอกฎหมายที่ต้องจัดทำใหม่ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
การทำงานทั้ง 4 คณะนั้น มีความก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะชุดคุณกอบศักดิ์ กำลังศึกษาและฟอร์มทีมทำงาน ภายใน 2 เดือนนี้จะมีข้อสรุปว่ากฎหมายไหนจำเป็นที่จะต้องปรับปรุง สร้างใหม่หรือยกเลิก เช่น กฎหมายการจัดตั้งบริษัท ห้าง ร้าน ต้องลดขั้นตอนให้สั้นและง่ายลง หรือกฎหมายการกู้ยืมเงิน หรือการไปทำธุรกรรม ซื้อที่ดิน การจดทะเบียนจดจำนองที่ดิน ที่ปัจจุบันระบบล่าช้ามาก เพราะการทำให้กระบวนการทางราชการกระชับสำคัญมากในการทำธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) กฎหมายไหนเป็นอุปสรรคต้องยกเลิกเพื่อให้การประกอบอาชีพของประชาชนดีขึ้น
สำหรับ ภารกิจ ทปก.ในการเปิดรับฟังความเห็น เป็นหนึ่งงานตามมาตรา 77 ทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องมีการประเมินผลกระทบจากการตรากฎหมาย หรือ Regulatory Impact Assessment ที่เรียกกันว่า กระบวนการ อาร์ไอเอ เพราะการออกกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าทุกขั้นตอนต้องมีการประเมินผลกระทบก่อนจะนำเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดย ทปก.จะดูว่าหน่วยงานใดทำหรือไม่ เพราะการประเมินผลกระทบผลดีหรือผลเสียมีความจำเป็นมาก
ดังนั้น จากนี้ไปจะมีผลงานด้านกฎหมายสำคัญๆ ทยอยออกมาเรื่อยๆ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.มาตรการติดตามทรัพย์สินของรัฐคืนจากการเอาไปโดยมิชอบ พ.ศ. ... โดยเฉพาะคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการทุจริตโดยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอดต้องเรียกคืนกลับคืนสู่ภาครัฐ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ... โดยในอนาคตจะมีการจัดตั้งกองทุนและมาตรการสร้างแรงจูงใจทางภาษีออกมามากมาย ร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. … และร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ...
ล่าสุดเตรียมยกร่างกฎหมายเพื่อให้สามารถนำเงินที่ค้างท่อมาใช้ประโยชน์ ที่มีอยู่จำนวนนับพันล้านบาท อาทิ เงินที่อยู่ในบัญชีธนาคาร เงินค่าเติมซิมการ์ด เงินกรมธรรม์ หรือเงินในบัตรเติมเงินแบบ Pre paid ในต่างประเทศจะมีกฎหมายออกมาให้สามารถนำเงินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์สาธารณะได้ แต่ต้องเป็นเงินที่ไม่มีเจ้าของจริงๆ
“การปฏิรูปคราวนี้ ถ้าไม่ออกกฎหมายที่เห็นผลเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้ จะขาดแนวร่วมจากประชาชน ทปก.คิดเสมอว่า จะทำอย่างไรให้การปฏิรูปแล้วต้องสัมผัสได้จริงๆ คือ Reform in action ไม่ใช่ Reform in paper ไม่มีอีกแล้วปฏิรูปที่เป็นรายงานแล้วไปอยู่บนหน้ากระดาษหรือแค่รายงานนำเสนอ ดังนั้น คณะ ทปก.จึงมีความตั้งใจทั้งออกแรงผลักดันขับเคลื่อน จะต้องผลักดันกฎหมายที่ดีไปสู่ท่อ ครม.หรือสนช.ให้รวดเร็วโดยเน้นความรัดกุมและรอบคอบเป็นที่สุด”
อย่างไรก็ตาม ผลงานชิ้นโบแดงล่าสุดของ ทปก. คือ ร่างกฎหมายที่ว่าด้วยการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม หรือกฎหมายสี่ชั่วโคตร เพราะทปก.ผลักดันเต็มที่ ผ่านการเปิดรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง และไม่ลังเลว่าหน่วยงานใดจะต้องรับผิดชอบหลัก แต่เห็นว่าเป็นกฎหมายที่ควรขับเคลื่อนและปรับปรุง จึงทำรายงานเสนอท่านนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็เอาเข้า ครม.ดันต่อไป ก่อนเสนอไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพราะ ทปก.เห็นด้วยกับหลักการ ดังนั้นวันนี้รัฐบาลจึงอนุมัติเพื่อส่งเข้า สนช.ได้ในที่สุด
“กฎหมายนี้หากเป็นในอดีต รับรองล่าช้ามาก เพราะเรื่องนี้มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ทปก.รับเป็นเจ้าภาพ ได้เรียกทุกหน่วยงานมาคุยกันเลย เพื่อมารับฟังความคิดเห็น จากนั้น ทปก.ก็ได้ออกมาเป็นข้อสรุปเสนอแนะรัฐบาล”
ดร.โอม บอกอีกว่า เรื่องล่าสุดได้เสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นร่างกฎหมายที่ดี เพราะได้สนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริต และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้เรื่องปราบโกง โดย ทปก.มีความเห็นด้วยในหลักการ ส่วนเรื่องที่มาของเงินจะได้รับการสนับสนุนจากไหน และหน่วยงานใดจะเป็นคนกลางในการตรวจสอบ ค่อยไปว่ากันในสภา แต่หลักการ คือ ต่อต้านการทุจริต ผ่านการสนับสนุนภาคีเครือต่อต้านการคอร์รัปชัน ที่จะได้รับงบสนับสนุนการทำงาน กองทุนนี้เป็นเหมือน “นกหวีด” คอยเป่าเสียงดังๆ หากพบนักการเมือง หรือข้าราชการที่จะทำการทุจริต ก็จะไม่ให้กล้าทำเรื่องโกงกิน ดังนั้นวันนี้ต้องก้าวข้ามการทำงานและบูรณาการทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ปราบปรามการทุจริต“สิ่งสำคัญในการทำกฎหมาย คือ การเปิดรับฟังความเห็นทำทุกช่องทาง ตั้งแต่รับจดหมาย หรือทางออนไลน์เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ใครมีความเห็นอะไรส่งเข้ามาได้ ผมนั่งอ่านทุกความเห็น เพื่อนำเสนอต่อคณะใหญ่ ใครมีความอัดอั้นตันใจอะไร เสนอมาได้ เช่น เมื่อท่านไปติดต่อหน่วยงานราชการแล้ว พบปัญหาอุปสรรคอย่างไร เช่น เวลานาน งานซ้ำซ้อน เราจะเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมาย”
ทั้งนี้ การปฏิรูปกฎหมายในยุครัฐบาลชุดนี้กับรัฐบาลเลือกตั้ง ถ้าจะถามว่าใครทำได้ดีกว่ากันคงตอบยาก แต่หากจะเปรียบเทียบกันจากปริมาณหรือจำนวนรัฐบาลชุดนี้ออกกฎหมายได้จำนวนมากกว่า เพราะรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งไม่ได้ออกกฎหมายได้มากเท่านี้ ยิ่งในช่วงวิกฤตการเมือง จะออกกฎหมายได้ยาก และฝ่ายค้าน นักการเมือง ไม่ออกกฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือตรวจสอบการทุจริตนักการเมือง แต่รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจเด็ดขาด กฎหมายที่ออกมาจึงมีคุณภาพ เช่น กฎหมายสี่ชั่วโคตร ที่ผ่านมารัฐบาลเลือกตั้งออกไม่ได้สักที เพราะนักการเมือง หรือผู้บริหารระดับสูงจะถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงดึงเรื่องไว้ไม่ให้ออกกฎหมาย แต่นี่คือความตั้งใจจริงและแสดงถึงคุณภาพ
แม้ออกการกฎหมายย่อมมีข้อขัดแย้งบ้าง แต่สิ่งสำคัญ คือ ทปก.ต้องกล้าตัดสินใจไม่ใช่ทุบโต๊ะ เพราะมีหน้าที่ทำความเห็นเสนอรัฐบาล ถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องเกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน หรืองานบางอย่างไม่สามารถบูรณาการกันได้ หรือบางข้อขัดแย้งเมื่อจะออกกฎหมายแล้วต้องไปสร้างองค์กรใหม่ แล้วองค์กรเดิมจะทำอย่างไร หรือกฎหมายบางฉบับไปแตะหลายหน่วยงาน ย่อมทำให้หลายหน่วยงานไม่พอใจ แต่ ทปก.ต้องตัดสินใจ ว่าจะเลือกแนวทางใด หากมีหลายแนวทางที่ต้องดำเนินการ จากนั้นทำความเห็นสนับสนุนเสนอรัฐบาล ขณะเดียวกันรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง จะทุบโต๊ะได้ง่ายกว่า เพราะรัฐบาลมาด้วยอำนาจพิเศษของตัวเอง และมีมาตรา 44 การตัดสินใจย่อมทำได้ดี
“ผมเชื่อว่าการปฏิรูปจะสำเร็จได้ ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน การปฏิรูปไม่ใช่จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในวันเดียว แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างและวิธีคิดของคน นี่คือการปฏิรูปที่แท้จริง”ดร.โอม กล่าวอย่างมั่นใจ