"เกิดเป็นคน สุจริตกับชีวิตเข้าไว้" พระหม่อมเหยิน ถอดความฮาสู่ความสงบถวายในหลวง ร.9
เปิดชีวิตพระประสิทธิ์ ชาคโล อดีตดาวตลกระดับตำนาน ผู้ตัดสินใจอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดชีพเพื่อถวายพระราชกุศลแด่ในหลวง ร.9
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
ในบรรดาดาวตลก 40 คนที่เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2560 มีเพียง พระประสิทธิ์ ชาคโล หรือ หม่อมเหยิน เท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่ในสมณเพศมาจนกระทั่งปัจจุบัน
จากเด็กลพบุรี อายุแค่ 10 ขวบ ต้องฝ่าฟันทำมาหากินในโรงลิเก คณะดนตรีลูกทุ่ง ก่อนขวนขวายโอกาสนำพาตัวเองไปเป็นนักจัดรายการวิทยุและประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตกับบทบาทตลกคาเฟ่
วันนี้พระประสิทธิ์ ตัดสินใจละทางโลก ปล่อยเวลาที่ผ่านมาไว้เป็นเพียงอดีต มุ่งหน้าบำเพ็ญกุศลถวายแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมปัญญา อ.บ้านนา จ.นครนายก
บวชตลอดชีวิตเพื่อในหลวง ร.9
พระประสิทธิ์ หรือ ประสิทธิ์ เทศทะวงศ์ อายุ 74 ปี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บุคลิกนิ่งสุขุมต่างไปมากจากอดีตเมื่อครั้งโดนเด่นอยู่บนเวทีตลก ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา พระพุทธศาสนาขัดเกลาความวุ่นวายทางโลกและยึดเหนี่ยวท่านไว้อย่างสงบ
“หลังครบ 9 วันแรก รู้สึกสงบ ไม่อยากสึก คุยกับทางครอบครัวลูกและภรรยาก็ไม่มีปัญหา เลยตั้งอธิษฐานจิตขอบวชตลอดชีวิต อายุเราก็เหลือไม่มากแล้วจะมีสิ่งใดเล่าที่จะทดแทนหรือตอบแทนพระองค์ท่านได้” พระประสิทธิ์เอ่ยถึงความตั้งใจพร้อมกับบอกต่อว่า “ขอให้ผ้าเหลืองเป็นสิ่งตอบแทนความเมตตาของพระองค์ไปตลอดชีวิต”
ปัจจุบันพระประสิทธิ์เลือกพักอยู่ในกุฏิขนาดเล็ก บริเวณป่าช้า ของวัดธรรมปัญญา เนื่องจากต้องการสมาธิและความสงบเพื่ออ่านหนังสือศึกษาธรรมมะ ส่วนสาเหตุที่เลือกจำพรรษาที่นี่ เพราะรู้จักมักคุ้นกับเจ้าอาวาสมาตั้งแต่สมัยเป็นตลกชื่อดัง
“รู้จักกันมานาน ไปมาหาสู่กันตลอด จริงๆ ท่านชวนเราบวชมานานแล้ว บอกเหนื่อยมามาก บวชดีกว่า แต่อาตมาปฏิเสธตลอด”
กุฏิขนาดเล็ก บริเวณป่าช้า ของวัดธรรมปัญญา
ซึ้งรสพระธรรม–ตั้งเป้าสร้างสำนักเมตตาสุนัข
ร่มกาสาวพัสตร์คือความสุขและความสงบในช่วงบั้นปลายของชีวิตที่พระประสิทธิ์พอใจมาก ท่าน เล่าให้ฟังว่า สิ่งสำคัญในการดำรงสมณเพศคือการตั้งสติอย่างมั่นคงและมีสมาธิรู้จักสถานะของตัวเอง ปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนา หากทำได้อย่างถูกต้องจะเหมือนมีสิ่งใดคอยดลใจให้ผู้นั้นไม่อยากละสีผ้าเหลืองไปจากร่าง
“หากบวชเพื่อคลายทุกข์หรือหลบหลีกไม่นานเดี๋ยวก็อยากสึก แต่ตอนนี้เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ขออุทิศส่วนกุศลให้กับพระองค์ทุกๆ วัน”
อดีตเจ้าของฉายาหม่อมเหยิน บอกว่า แต่ละวันจะสวดมนต์เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ขณะสวดเหมือนมีอะไรดลใจให้อยากสวดและภาวนาอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่างต่อไป ยอมรับว่าการฝึกฝนในช่วงวัย 74 ปี อาจจะลำบากอยู่บ้างในช่วงแรก
สำหรับเป้าหมายของพระประสิทธิ์ คือ การสร้างสำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมและเป็นสถานรองรับเหล่าสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง
“ล่าสุดมีคนเฒ่าคนแก่เอาหมามาให้อีก 5 ตัว ตอนนี้มีทั้งหมด 7 ตัวแล้ว ขอเมตตาต่อสัตว์ให้มากที่สุด นอกจากช่วยเหลือมันแล้ว ยังสอดคล้องกับแนวทางของพ่อหลวงพระองค์ท่านที่เป็นคนรักสุนัขด้วย
ส่วนวันหน้าถ้ามีโอกาส ด้วยบารมี อยากมีที่ตั้งสำนักสงฆ์ รองรับหมาที่ตกทุกข์ได้อยากหรือเจ้าของไม่พร้อมเลี้ยง อยากทำด้วยเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง เมตตาสัตว์ค้ำจุนสัตว์ไม่ซ่อนเร้นหาประโยชน์ ”
ใช้ชีวิตอย่างสุจริตและปล่อยให้ชะตานำพา
สำหรับเส้นทางชีวิตของพระสงห์รายนี้ บ้านเกิดอยู่จังหวัดลพบุรี จบการศึกษาเพียงแค่ชั้น ป.4 ก็เริ่มต้นนับหนึ่งในเรื่องความสามารถทางการแสดงกับลิเกคณะกุมารทองลูกขุนแผน รับบทบาทเป็นตัวโกง จนกระทั่งอายุได้ 17 ปี เข้าทำงานเป็นนักแสดงตลกกับคณะดนตรีลูกทุ่งพรนารายณ์ เป็นตลกในวงดนตรีลูกทุ่งได้สักระยะก็เริ่มฉายแววถูก วัชรพล ลิมปะพันธุ์ หรือ “แอ๊ด เทวดา” เจ้าของสื่อวิทยุจังหวัดพิษณุโลกและพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ชักชวนให้มาจัดรายการวิทยุร่วมกัน
“แกบอกเลิกเล่นเหอะ มานี่มีอนาคต ได้เงินได้ทองเยอะกว่า”
ชายหนุ่มผมยาวฟันเหยินมุ่งมั่นเป็นดีเจจัดรายการวิทยุมากว่า 10 ปี มีความสุขกับการใช้เสียง เปิดเพลง และให้คำแนะนำกับเหล่านักร้องหน้าใหม่ ชีวิตลงหลักปักฐาน สร้างบ้านมีครอบครัว และไม่คิดฝันว่าจะต้องย้ายถิ่นฐานหรือเปลี่ยนแปลงอาชีพ จนกระทั่งราวปี พ.ศ.2531 จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก หรือ สมศักดิ์ หมีพุฒ อดีตนักแสดงตลกร่างอ้วนชาวไทย เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก ที่กำลังโด่งดังในขณะนั้นร่วมกับ เทพ โพธิ์งามและเพชร ดาราฉาย ชักชวนไปสร้างชื่อในเมืองหลวง
“สมัยนั้นได้เงินประมาณเดือนละ 2.5 หมื่น และมีค่าหัวคิวอื่นๆ อีก ก็คิดว่าเยอะมากแล้ว แต่จุ๋มจิ๋มบอก โห..แค่นั้นเองเหรอ มึงไปอยู่กับกูเถอะ น้ำขึ้นให้รับตัก เขากำลังโกยเงินกันเลย”
ชีวิตใหม่ในคาเฟ่ของนายประสิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายและเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อช่วงเริ่มต้นไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเสียงเรียงนามของเด็กบ้านนอกอย่างเขาเลย เล่นมุขไม่ฮา ไม่ตลก จนถูกดี๋ ดอกมะดัน ตำหนิบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้และสร้างชื่อ “ไอ้หม่อมเหยิน” สำเร็จ
“แรกๆ ชาวบ้านเขาก็เรียกเราไอ้เหยิน ไอ้หม่อง สลับและเพี๊ยนมาเป็นไอ้หม่อม สุดท้ายดี๋ก็เป็นคนเรียกไอ้หม่อมเหยิน มันน่าจะมีที่มาจากบุคลิกนั่นแหละ ก็ดีใจที่มันกลายเป็นชื่อที่คนจำได้”
มุขเรียกเสียงหัวเราะสมัยรุ่งเรืองของหม่อมเหยินคือ จังหวะการพูด ฟันหน้า รวมถึงท่าเต้น
“เมื่อวานเกือบมีเรื่อง คนเดินผ่านมา มันหาว่าเราเอาฟันชี้หน้ามัน แฮร่” เขายกตัวอย่างมุขขำๆ เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของตัวเอง
สมัยโด่งดังเล่นตลกบนเวทีคาเฟ่
ธุรกิจไอศกรีมมะพร้าว
ตลกคณะหม่อมเหยินมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายปี เจ้าตัวร่ำรวยมีเงินมีทอง รายได้ 5-6 หมื่นบาทต่อวัน หากมีอัดเทปวิดีโอด้วยจะพุ่งไปสูงถึงวันละ 1 แสนบาท สมัยนั้นผู้ชายคนนี้ครอบครองรถสุดหรูเมอร์เซเดส-เบนซ์ถึง 2 คัน ได้แก่ E-220 และ S-500
“ความดังมันไม่รู้สึกตัวหรอก ทุกคนลืมตัวรวมทั้งเราด้วย ไปไหนมีแต่คนทัก มีงานทุกคืนเป็น 10 ที่ เราเกิดจากศูนย์ เป็นลูกชาวไร่ชาวนา ไม่มีอะไรสักอย่างมาเริ่มตั้งตัวซื้อบ้านซื้อรถ ขับเบนซ์เป็นฐานะ โชคดีที่ไม่ใช่คนเที่ยว เหล้าไม่กิน พนันไม่เอา ส่วนใหญ่หมดไปกับสิ่งของและเลี้ยงคน”
คราวอวสานของคาเฟ่มาถึงในสมัยที่รัฐบาลออกกฎหมายประกาศเวลาปิดสถานบันเทิงไว้เพียงแค่ 24.00 น. กระทบกับศิลปินตลกทั่วฟ้าเมืองไทย เม็ดเงินหดหายและกลายเป็นจุดตกต่ำของใครหลายคน
“หมดเลยทุกคณะ ตลกไปกองเป็นเงาะเน่า เพราะเราเคยเล่นกันถึงพระบิณฑบาตร” พระประสิทธ์ระลึกอดีต
หลังวิกฤตครั้งนั้น ราวปี พ.ศ. 2546 หม่อมเหยินบินลัดฟ้ามุ่งหน้าสู่แดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มจากเล่นตลกในร้านอาหาร ก่อนตัดสินใจอยู่ยาวถึง 8 ปีในฐานะพนักงานของโรงงานแห่งหนึ่ง
“ได้แง่คิดกลับมาเยอะ ที่นั่นคนระดับผู้จัดการยังใช้รถเล็กๆ เขาใช้เป็นพาหนะไม่ใช่ใช้เป็นฐานะ กลัวคนไม่รู้ว่ามีเงิน แต่เป็นหนี้ อยู่ได้ 8 ปี กลับมาเมืองไทยขายรถเบนซ์ทิ้งเลย”
หลังกลับมาเมืองไทย หม่อมเหยินเปิดกิจการร้านอาหารหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กระทั่งมาขายไอศครีมมะพร้าวสดอยู่ จ.ปราจีนบุรี การค้าก้าวหน้าตามสมควรมียอดสั่งซื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และไปได้ไกลสุดถึงประเทศกัมพูชา สุดท้ายการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้เขาตัดสินใจบวชอย่างไม่มีวันสึก
“เราเกิดมาเพื่อศึกษาชีวิตตัวเองว่า ชีวิตมันจะพาเราไปตรงไหนบ้าง อย่าไปฝืน พยายามทำเต็มที่และปล่อยมันไป ขออย่างเดียวอย่าทำชั่ว สุจริตกับชีวิตเข้าไว้ มันจะพาไปเจอแต่สิ่งดีๆ” พระประสิทธิ์เอ่ยถึงคติประจำใจของตัวเองพร้อมกับเปิดรอยสักที่แขนข้อความว่า “มานะและอดทน”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวช่วงสำคัญของชีวิต พระประสิทธิ์ หรือ หม่อมเหยิน ประสิทธิ์ เทศทะวงศ์ อีกหนึ่งตลกระดับตำนานของเมืองไทย