posttoday

ปรองดอง อย่าผิวเผิน ต้องลึกซึ้งถึงราก

29 มกราคม 2560

"รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งมาจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่ต้องแก้ไข อย่าเอาไปซุกใต้พรม การสร้างความปรองดองจึงต้องแก้ความเหลื่อมล้ำนำแนวทาง​ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ"

โดย...ธนพลบางยี่ขัน

เส้นทาง “ปรองดอง” รอบใหม่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ​ส่อเค้าสะดุดตั้งแต่ยังไม่ทันออกตัวเมื่อมีการหยิบยกเรื่องการเรียกทุกฝ่ายมาร่วมกันเซ็นเอ็มโอยูสร้างความปรองดอง

สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ​มวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงเรื่องนี้ว่า เห็นด้วยกับการสร้างความปรองดอง แต่จะต้องไม่ทำแบบผิวเผิน ไม่ใช่เรื่องที่จะมากำหนดว่าต้องทำ 3 เดือน 5 เดือน หรือเอาผู้นำแต่ละฝั่งมาเซ็นชื่อกันแล้วจะเสร็จ

“ถ้าทะเลาะกันสองคนไม่มีคนข้างหลัง​ที่ร่วมเดินไปกับคุณมันก็ไม่เป็นไร เอาคนที่ทะเลาะกันมาชกกันสองคนก็ได้ ทำผิดกฎหมายก็จับทั้งคู่ ​แต่ที่สำคัญคือจะทำยังไงกับคนที่เดินตามหลัง เราต้องยอมรับความจริง ว่ามีแนวคิดที่แตกต่างจริง เราจะให้คน 60-70 ล้านคน คิดเหมือนกันไม่ได้ แต่คิดต่างต้องอยู่ด้วยกันได้ภายใต้กฎหมาย เราจะต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

“แต่คุณไม่เอาสถาบัน ผมเอาสถาบัน มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาปรองดองกันได้ มันเป็นเรื่องรัฐบาลต้องทำแผนให้คนไทยทุกคน เด็กเล็ก ถึงคนแก่ ต้องเข้าใจว่าไทยเป็นราชอาณาจักร​มีประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ ต้องเดินแนวนี้ไม่มีทางไปแนวอื่น คนไม่เห็นด้วยอาจต้องรอก่อน โลกอาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกร้อยปีพันปี คุณเกิดใหม่สองสามรอบอาจทัน” สุเทพ กล่าว

สุเทพ อธิบายเพิ่มว่า กรณีทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น อย่ามาพูดเอาเท่นักการเมืองหลายคนที่บอกต้องแก้ไขนั้น ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความมั่นคง ​ประเทศอื่นเขาก็วิจารณ์ไม่ได้ ไม่ได้เปิดเสรี คนไปตะโกนด่า โอบามา ก็ถูกดำเนินคดี เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องมาคุย ​

รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งมาจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่ต้องแก้ไข อย่าเอาไปซุกใต้พรม สมัยก่อนคอมมิวนิสต์ก็ใช้วิธีปลุกปั่นเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับนายทุน ปัญหายังคงอยู่ จนต่อมามีการพูดเรื่องเดิมมีการประดิษฐ์วาทกรรมเรื่อง อำมาตย์ กับไพร่ การสร้างความปรองดองจึงต้องแก้ความเหลื่อมล้ำ นำแนวทาง​ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ

“เรื่องปรองดองกับปฏิรูปเป็นเรื่องที่ต้องเดินไปด้วยกัน คุณจะจับตรงไหนก่อนก็ได้ ​หากคุณจับเรื่องปรองดองก่อน ก็คือเป้าหมายแล้วดูว่าต้องแก้ตรงไหนบ้าง นี่คือกระบวนการที่จะไปปฏิรูป หรือถ้าจะเริ่มที่ปฏิรูปก็จะเกี่ยวพันมาถึงการสร้างความสมานฉันท์ ​ถ้ามองอย่างนี้ก็คุยกันได้ แต่ถ้าคิดว่าปรองดองเพื่อให้คดีของนายสุเทพที่อยู่ในศาลทั้งหมดต้องยุติอย่างนี้มันก็ไม่จบ

​“เรื่องที่แล้วใครทำกรรมอะไรไว้ก็ว่ากันไป สู้คดีกันไป ไม่มีการกลั่นแกล้ง ผมก็ทำใจไว้แล้วก่อนพาประชาชนออกมาเดินถนน รู้ว่าอาจถูกยิง อาจถูกดำเนินคดี แต่สิ่งที่จะแก้ปัญหาสร้างความปรองดองคือการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ลูกหลานมีโอกาส ​ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อไปคนที่จะออกมานำแล้วมีคนเดินตามหลังออกมาทะเลาะกันก็จะหมดไปหรือมีน้อยลง” สุเทพ กล่าว

ส่วนเรื่องกองเชียร์ที่ถือข้างแต่ละฝั่งซึ่งอาจจะไม่ยอมรับในแนวทางการปรองดองที่จะทำ ก็เป็นเรื่องของคนกลางที่จะต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจ รวมทั้งรัฐบาลที่จะต้องการันตีเรื่องความยุติธรรม ซึ่งจะไม่มีการเข้าไปแทรกแซงในทุกกระบวนการ

สุเทพ ย้ำว่า เรื่องปรองดองต้องทำอย่างลึกซึ้ง ปลูกฝัง สำนึกความรับผิดชอบ หน้าที่ต่อชาติบ้านเมือง ต้องมีคุณธรรมค่านิยมถูกต้อง ต้องมีสำนึกเคารพกฎหมาย และต้องมีหลักประกันเรื่องการตรากฎหมาย ต้องเป็นธรรม สส.ที่จะเข้าไปเขียนกฎหมายต้องผ่านการคัดกรอง ​​ไม่มีการโกง ซื้อเสียง สกัดพวกที่จะไปออกกฎหมายให้นาย หรือพวกพ้องได้ประโยชน์ ​

สำหรับองค์ประกอบของคณะทำงานด้านการปฏิรูปและปรองดองนั้น ที่ผ่านมาเราเคยมีคณะกรรมการชุดนั้นชุดนี้ใช้เงินไปเยอะ แต่ทำแล้วไม่ได้ผล ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเป็นเจ้าภาพ ​และไปหาคนอื่นมาร่วมด้วย แต่อย่าไปเอานักการเมืองทั้งอดีตหรือปัจจุบัน​ไปนั่งเป็นกรรมการ โดยสามารถให้ไปแสดงความเห็นได้ แต่ต้องฟังหูไว้หู

อย่างไรก็ตาม ถ้าให้นักการเมืองไปเป็นกรรมการปรองดองด้วยจะสร้างความยุ่งยาก เพราะหนีไม่พ้นความผูกพัน ผลประโยน์​ตัวเอง ของพรรค ของผู้สนับสนุน แต่หากให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ​​ทำคนเดียวก็อันตราย หรือเอาพวกสอพลอทหารมาอย่างเดียวก็อันตราย ต้องไปเอาคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ​ไม่มีอคติ อาจารย์มหาวิทยาลัยดีๆ ผู้พิพากษา ข้าราชการดีๆ ​ ​

ส่วนเมื่อทำอย่างนี้แล้วหากแกนนำยังไม่ยอมรับ กองเชียร์ที่เชียร์อยู่ข้างหลังเขาก็จะเลิกเดินตามคุณเอง เขาจะรู้ว่าผู้นำที่เคยเดินตามแย่ถึงอย่างนี้เลยหรือ ตรงนี้อย่าไปกลัว แต่หากจะหวังว่าให้คู่ขัดแย้งที่ขัดแย้งกันจริงๆ มาจับมือปรองดองกัน​มันไม่ง่าย อาจดูเป็นเรื่องเพ้อฝันมากไป มันไม่ใช่นิยายขนาดนั้น ขอแค่อย่าให้มาก่อเหตุในบ้านเมืองสร้างความเสียหายก็พอ

สำหรับเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากกับการทำปรองดองนั้น สุเทพ มองว่า ไม่จำเป็นต้องรีบเพราะอำนาจรัฐบาลที่มีอยู่อย่างน้อยตามโรดแมปก็ปีครึ่ง ซึ่งไม่รู้จะมีกระตุกตรงไหนอีก เพราะหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ก็มีกำหนดเวลาจัดทำกฎหมาย​ลูก​ กำหนดเวลาเลือกตั้ง ​​ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์ 20 ปีนั้นลงมือทำได้เลย ​ไม่ต้องไปหวังรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง

“​ใครจะไปรู้เลือกตั้งเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ ​อาจจะเป็นรัฐบาลต่อก็ได้ ก็ทำต่อไป​ หรือใครมาก็ทำต่อเพราะเป็นยุทธศาสตร์ชาติ นาย ก. นาย ข. เป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องทำต่อ ดังนั้นเรื่องปรองดองเรื่องปฏิรูปอย่าไปบอกว่าต้องสำเร็จ 3 เดือน 6 เดือน บางเรื่องทำได้เลย บางเรื่องต้องทำไปเรื่อยๆ ​

“วันนี้มาชวนผมปรองดอง แต่บอกว่าปรองดองแล้วต้องนิรโทษกรรมให้คนฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือพวกเผาศาลากลาง งั้นผมก็บอกกลับบ้าน ไม่ต้องมาถาม ที่สู้มาเพื่ออย่างนั้น ถามว่าทำไมไม่ลืมเรื่องที่ผ่านมา ผมบอกลืมได้แต่ต้องทำตามกระบวนการยุติธรรม สมมติต่อไปศาล​พิพากษา จำคุกนายสุเทพ 5 ปีก็เดินคอตกเข้าคุก วันข้างหน้ารับโทษออกมาก็ไม่ต้องมีการอาฆาต​

“ที่สำคัญต้องเคารพกฎหมาย ถ้าบังคับใช้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์แทบไม่ต้องจับใครมาเซ็นสัญญา แต่เรื่องปรองดอง เราพูดชัดว่าเราให้กำลังใจ​ เราเห็นด้วยว่าทำเถอะแต่ทำให้ลึกซึ้งถึงราก อย่าผิวเผิน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อชาติระยะยาว”สุเทพ กล่าวทิ้งท้าย

ปรองดอง อย่าผิวเผิน  ต้องลึกซึ้งถึงราก

ยุทธศาสตร์ชาติต้องปลูกฝังอุดมการณ์พัฒนาประชาชน-ข้าราชการ

สุเทพ ระบุว่า การจัดทำยุทธศาสตร์ชาตินั้นต้องเตรียมพร้อมทุกด้านเพื่อทำ ให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เพียงแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเตรียมความพร้อมประชาชน ข้าราชการ ให้มีแนวคิดอุดมการณ์ร่วมกันเพื่อบรรลุกระบวนการปฏิรูปทั้งเรื่องการปฏิรูปการศึกษาที่มากกว่าระบบการศึกษา แต่ยังรวมถึงหน้าที่พลเมืองศีลธรรมที่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดถึง แต่จำ เป็นต้องปลูกฝัง อุดมการณ์ หน้าที่ ทุกวันนี้ประชาชนรู้แต่สิทธิว่าได้อะไรบ้าง แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ขณะที่สื่อก็ต้องสร้างความคิดอุดมการณ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ขณะที่ข้าราชการก็ต้องปลูกจิตวิญญาณเพราะที่เป็นอยู่มีคนรู้สึกเป็นนายประชาชนมากขึ้นต้องปลูกฝังความซื่อสัตย์ สุจริต เหล่านี้ล้วนเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ไม่มีคนอยากพูดถึง ที่ผ่านมาจะเห็นการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการกระจายอำนาจ ปกครองท้องถิ่น

สุเทพ ระบุว่า อีกประเด็นที่ต้องปฏิรูปคือ กระบวนการยุติธรรม เริ่มจากตำรวจที่เป็นต้นน้ำ อัยการ ที่เป็นกลางน้ำ และศาลที่เป็นปลายน้ำ แม้ที่ผ่านมาจะไม่มีแนวคิดที่จะไปยุ่งกับศาลยุติธรรม แต่นี่เป็นโอกาสดีที่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะระยะเวลาพิจารณาคดี ที่บางคดีสู้กัน 12-14 ปี   

ทั้งนี้ อาจนำ เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพิจารณาคดี เริ่มตั้งแต่การให้การในชั้นตำรวจและบันทึกลงดิสก์ เก็บในเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไปจนถึงอัยการและศาล ที่อาจจะร่นเวลาจาก 12 ปี เหลือ 1-2 ปีได้   ส่วนตำรวจที่เป็นต้นน้ำ ควรปรับให้ได้รับค่าตอบแทนไม่ต่างจากอัยการและศาล แต่ถ้าทุจริตต้องออกอย่างเดียวเหมือนศาล ไม่ใช่ออกแล้วไปเปลี่ยนชื่อกลับมาทำ ผิดเหมือนเดิม อีกทั้งไม่จำ เป็นต้องทำ แบบทหารที่แบ่งเป็นกองทัพภาค แต่สามารถทำ เป็นตำรวจจังหวัดได้เลย ส่วนที่ใครมองแง่ร้ายว่าจะทำ ให้ตำ รวจอยู่ใต้มาเฟียนั้น ก็ไม่ใช่เพราะปล่อยให้มีมาเฟียตั้งแต่ต้นไม่ได้อยู่แล้ว

“การปฏิรูปตำรวจเป็นงานหนักมากสุด มีปัญหามากสุด หลายคนทำ มาแล้วไม่สำเร็จ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ทำสำเร็จ จะเป็นประโยชน์มหาศาล ส่วนอัยการก็ต้องไปดูว่าเมื่อแยกมาเป็นอิสระจากแต่ก่อนอยู่กับกระทรวงมหาดไทย เป็นกรมอัยการ พอนานไปก็กลายเป็นรัฐอิสระ ซึ่งน่ากลัวตรงนี้ก็ต้องไปแก้”สุเทพ กล่าว

ข่าวล่าสุด

เมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “ทางรอด”… ทรู ดิจิทัล ถอดสูตรดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน