posttoday

ธรรมกายกับวิกฤตสงฆ์ เร่งปฏิรูปผ้าเหลือง อย่าให้พระธรรมวินัยวิปริต

01 มกราคม 2560

"เรื่องราวของวงการผ้าเหลืองในห้วงเวลา 1-2 ปีนี้ คงไม่ทำให้ศาสนาเกิดความหวั่นไหว สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการทำให้พระธรรมวินัยให้วิปริต"

โดย...เอกชัย จั่นทอง

หลายคำถามเกี่ยวพันในวิกฤตศรัทธาต่อปัญหาที่เกิดขึ้นของวงการสงฆ์ปัจจุบัน นำมาซึ่งความแตกแยกขัดแย้งลุกลามบานปลายใหญ่โต จากกรณีคดีอื้อฉาว พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ วัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาในคดี “ฟอกเงิน” และ “รับของโจร” สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้พระธัมมชโยยังคงลอยนวลทำกิจวัตรตามปกติภายในวัด แม้ฝ่ายรัฐเองจะมีแผนจับกุมก็ตาม

พฤติกรรมไม่เหมาะสมดังกล่าว ปรากฏสู่สายตาชาวพุทธทั่วโลก สร้างความเสื่อมศรัทธาไม่น้อย พระนักเทศน์นักธรรมชื่อดัง พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ มองปัญหาของวงการสงฆ์ในขณะนี้ว่า เรื่องการดำเนินคดีทางกฎหมายกับพระธัมมชโย เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง หรือรัฐบาลที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือคณะสงฆ์ โดยเฉพาะองค์กรปกครองสงฆ์ คือมหาเถรสมาคม (มส.) จะเข้ามาให้ความสำคัญในการจัดการปัญหาในวงการสงฆ์อย่างแท้จริง และจีรังยั่งยืนหรือไม่

พระไพศาล กล่าวว่า ปัญหาของวงการผ้าเหลืองถูกละเลยกันมาก รวมถึงความไม่ใส่ใจแก้ไข ทุกวันนี้พระสงฆ์กระทำผิดพระวินัยมากขึ้น ทำให้การปราบปรามจัดการไม่ไหว จึงตั้งข้อสังเกตว่า 1.คณะสงฆ์ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร 2.แม้ใส่ใจก็ปราบไม่หมด และ 3.องค์กรและกลไกของคณะสงฆ์ไม่มีการปรับตัวให้สอดรับกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เหล่านี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในคณะสงฆ์ที่ทำให้การแก้ปัญหาไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ รวมถึงการควบคุมปกครองพระสงฆ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยด้วย

โครงสร้างปกครองสงฆ์เช่นนี้ ทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น เพราะเป็นรูปแบบการรวมศูนย์สู่ส่วนกลาง (มส.) และ ส่วนกลางเองไม่มีความสามารถพอจะแก้ปัญหาของพระสงฆ์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศได้ นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลไกหรือแขนขาของ มส. ได้แก่ เจ้าคณะระดับต่างๆ ทั่วประเทศ

“อย่างเจ้าคณะตำบลไม่มีคณะทำงานเพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาของพระสงฆ์ พูดภาษาชาวบ้านเรียกว่าทำงานแบบวันแมนโชว์ (One man show) ถ้าหากเทียบกับการปกครองทางโลกก็จะมีคณะทำงาน ขณะเดียวกันการปกครองแบบรวมศูนย์จะทำให้เกิดการวิ่งเต้นใช้เส้นสายกันมากในวงการพระสงฆ์” พระไพศาล ระบุ

พระไพศาล ให้ความเห็นด้วยว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดของคณะสงฆ์ คือระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ที่ล้าหลัง พระสงฆ์จำนวนมากไม่มีความรู้ด้านพระธรรมวินัย ส่วนใหญ่ไม่สนใจสมาธิภาวนา เพราะพระผู้ใหญ่ขาดการส่งเสริม ทำให้พระจำนวนมากลุ่มหลงในวัตถุ หรือสิ่งยั่วยวนทางโลก ทำให้เกิดการประพฤติผิดทางพระธรรมวินัยมากขึ้น

“พระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องพระธรรมวินัยจริงจังเท่าไรนัก ขณะที่องค์กรปกครองสงฆ์ก็ปล่อยปละละเลย ตัวอย่างกรณีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตไว้ชัดเจนแล้วว่า พระธัมมชโยต้องปาราชิกขาดจากความเป็นพระสงฆ์ แต่มหาเถรสมาคมก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรต่ออย่างจริงจังเลย แม้กระทั่งการนำกรณีนี้เข้าสู่กระบวนการของฝ่ายสงฆ์ตามพระธรรมวินัย ยังปล่อยปละละเลยมาจนปัจจุบัน ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น การปล่อยปัญหาล่วงเลย ทำให้ปัญหาลุกลามขยายใหญ่โต อย่างในอดีตช่วงปี 2549 พระธัมมชโยได้รับการถอนฟ้องไม่ต้องดำเนินคดี ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข้อกังขาว่า ทำไมอัยการถึงถอนฟ้องได้ ในที่สุดแล้วธรรมกายก็เติบใหญ่ยิ่งกว่าเดิม” พระไพศาล กล่าว

พระไพศาล กล่าวว่า การเผยแพร่หลักปฏิบัติธรรมคำสั่งสอนของวัดพระธรรมกายเป็นเรื่องดีหากมีการเผยแพร่อย่างถูกต้อง แต่วัดพระธรรมกายทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาผิดเพี้ยน ถึงขั้นบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า หากวัดพระธรรมกายเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่วัดนี้มีสำนัก สาขา มีสื่อโทรทัศน์ ขยายเติบโตไปทั่วประเทศ ดังนั้นจึงน่าเป็นห่วงเรื่องคำสอนของวัดพระธรรมกายที่ค่อยๆ เผยแผ่ควบคู่กับคำสอนผิดๆ ในพุทธศาสนา นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากในระยะยาว

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ระบุว่า วัดพระธรรมกายยังมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างผู้สนับสนุนและผู้เห็นต่างกับวัด มีกลุ่มการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากเรื่องศาสนาแล้ว ยังมีเรื่องของพวกพ้องทางการเมืองต่างหนุนต่างต่อต้าน จึงทำให้ความขัดแย้งไปข้องเกี่ยวกับการเมืองแล้วขยายตัวไป ทำให้การแก้ไขปัญหายุ่งยาก รวมถึงการแต่งตั้งพระสังฆราชด้วยเช่นกัน ในอดีตคนนอกวงการสงฆ์น้อยคนจะสนใจเรื่องการแต่งตั้ง ปัจจุบันคนสนใจกันมาก ซึ่งก็มีกลุ่มเห็นด้วยและต่อต้าน จึงทำให้ความขัดแย้งขยายตัวออกไป

อย่างไรก็ตาม การที่หลายฝ่ายมองว่าปัญหาวัดพระธรรมกายอาจทำให้พุทธศาสนาล่มสลายได้นั้น พระไพศาล ระบุว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะพุทธศาสนาในประเทศไทยตั้งมั่นมานานนับพันปีแล้ว ถ้าจะล่มสลายก็เพราะมีเหตุปัจจัยที่มากกว่านั้น หากชาวพุทธส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจและมีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้งมีการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือถูกบิดเบือน พุทธศาสนาก็จะยังมั่นคงอยู่ได้ แม้จะมีกรณีวัดพระธรรมกายเกิดขึ้นก็ตาม

“เรื่องราวของวงการผ้าเหลืองในห้วงเวลา 1-2 ปีนี้ คงไม่ทำให้ศาสนาเกิดความหวั่นไหวสั่นคลอนได้ กระนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการทำให้พระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งเป็นประเด็นที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) แห่งวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม เคยกล่าวไว้ พุทธศาสนาจะเจริญมั่นคงได้เราต้องช่วยกันรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแค่มีวัดใหญ่โตสวยงาม หรือมีพระเป็นแสนๆ องค์ นั่นไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะมีการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง ถ้าไม่รักษาให้ถูกต้องแล้วมีการบิดเบือนต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นตัวการทำให้พุทธศาสนาเกิดความสั่นคลอนความมั่นคงของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง อาตมาคิดว่าอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า”

เช่นเดียวกับเรื่องกระบวนการยุติธรรม พระไพศาล ให้มุมมองเรื่องนี้ว่า รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้คดีของพระธัมมชโยไม่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะถ้ากฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องพระธัมมชโยควรจะจบไปแล้ว แต่ครั้งนี้เราปล่อยปัญหานี้ไว้นาน ขณะเดียวกันกระบวนการยุติธรรมเวลานี้ก็ไม่ทำให้คนรู้สึกว่ามีความบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความเป็นกลาง มีความเที่ยงธรรม ฉะนั้นเวลามีคนบอกว่า ถูกกลั่นแกล้ง กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง แล้วมีคนเชื่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว นั่นสะท้อนถึงความอ่อนแอและความถดถอยของกระบวนการยุติธรรมไทย

ขณะเดียวกัน สังคมมองว่าพระสงฆ์ให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์กัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระไพศาล ให้ความเห็นว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาของคณะสงฆ์ ทำให้สังคมมองว่าการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ แทนที่จะยึดหลักพระธรรมวินัย ใช้ความถูกต้องเป็นหลัก กลับสวนทางกันคือเอาพวกพ้องมากกว่า ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราเลือกพวกพ้องและละทิ้งความถูกต้องเป็นหลัก ก็น่าเป็นห่วงยิ่ง

ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่ขนาดไหนต้องมีทางออก เช่นเดียวกับเรื่องของพระธัมมชโย พระไพศาล แนะทางออกว่า ต้องติดตามนำตัวพระธัมมชโยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และอย่านำการเมืองเข้ามาแทรกแซง สิ่งนี้ผู้เกี่ยวข้องต้องทำให้สังคมเห็นกระจ่างชัด ขณะเดียวกันก็ต้องทำความบริสุทธิ์ยุติธรรมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงด้วย