posttoday

เปิดตำนานเจ้าพ่อบ้านหรู "สุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ"

31 มีนาคม 2559

"คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันอยากเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่อยากฝากกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ คือ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด การเติบโตในแบบทีละขั้นเป็นสิ่งที่ใช้ได้เสมอ อย่าคิดโตเร็วถ้ายังไม่แข็งแรงพอ"

โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์

ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ความเคลื่อนไหวของตลาดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์กลับขยายตัวสวนทาง ทั้งบ้านหรู คอนโดมิเนียมหรูเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง และส่วนใหญ่ยังมียอดขายที่ดี ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่บ้านหรูระดับราคา 20-30 ล้านบาทขึ้นไป ยังมียอดสั่งสร้างต่อเนื่อง และเมื่อเอ่ยถึงบ้านหรูแบบสร้างเองแล้ว ต้องยอมรับว่าแบรนด์รับสร้างบ้านหรู “เอ็มเพอเร่อร์” เป็นหนึ่งในแบรนด์กลุ่มบ้านหรูที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับกลุ่มเศรษฐีเมืองไทยที่ใฝ่ฝันอยากมีคฤหาสน์สไตล์คลาสสิกเป็นของตัวเอง เพราะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดรับสร้างบ้านหรูมายาวนานกว่า 28 ปี

สุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ บริษัทรับสร้างบ้านหรูภายใต้แบรนด์ “เอ็มเพอเร่อร์” เล่าว่า กว่าจะมาเป็นเอ็มเพอเร่อร์วันนี้ มีจุดเริ่มต้นราวปี 2531 หลังจากเรียนจบ ซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูมาก และผลักดันให้คนเข้าเป็นเจ้าของธุรกิจ จึงตัดสินใจเข้าสู่วงการรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้ชื่อ “เอ็มไพร์ส กรุ๊ป” รับก่อสร้างทุกรูปแบบทั้งตึกแถว หอพัก โรงงาน บ้าน ออฟฟิศ โดยงานรับช่วงแรกๆ มีมูลค่าไม่สูงนัก ประมาณ 1.2 แสนบาท/งาน แล้วก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนงานใหญ่สุดมีมูลค่าสูงสุด 10 ล้านบาท มียอดรับงานแต่ละปีประมาณ 50 ล้านบาท

หลังจากทำรับเหมาไปได้ 6-7 ปี ประมาณปี 2538 ก็เริ่มเห็นอาการของเศรษฐกิจฟองสบู่คนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์เริ่มไม่ใช่กลุ่มความต้องการจริงหรือเรียลดีมานด์ แต่เป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไร โดยเฉพาะที่ดิน เห็นชัดเจนมาก ตลาดหุ้นพุ่งทะยานไปแตะ 1,400-1,500 จุด คนในวงการรับเหมาหลายคน รวมถึงตัวบิ๊กบอสเอ็มเพอเร่อร์ด้วยเช่นกัน นำเงินที่ได้จากค่างวดรับเหมาไปใช้ผิดประเภท ไปลงทุนเก็งกำไรต่างๆ จนท้ายที่สุดก็ถึงทางตัน

สุรัตน์ชัย เล่าว่า ตอนนั้นมองว่าต้องมองหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อเตรียมตัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่มีโอกาสเกิดขึ้น เพียงแต่ในเวลานั้นทุกคนยังไม่รู้เศรษฐกิจจะดำดิ่งลงไประดับใด ซึ่งในเวลานั้น มีโอกาสได้เรียนปริญญาโทเอ็มบีเอ จึงได้เรียนรู้การเขียนแผนธุรกิจ จึงนำหลักทางวิชาการบวกกับประสบการณ์ที่ได้ทำงานจริงมาเขียนแผนธุรกิจ วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง และอีกหนึ่งความโชคดี นั่นคือ มีโอกาสได้พูดคุยกับกลุ่มผู้พัฒนาแบรนด์ “มาสเตอร์พีซ” โครงการบ้านจัดสรรที่เป็นบ้านหรูราคา 20 ล้านบาท ซึ่งจะไม่เดินหน้าพัฒนาโครงการต่อแล้ว จึงมองว่าเป็นโอกาสที่เอ็มเพอเร่อร์จะเข้าไปแทนที่

เอ็มไพร์ส กรุ๊ป จึงปรับโพซิชั่นนิ่งของตัวเองใหม่ จากบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่มีมาตรฐานและเป็นมากกว่าแค่ผู้รับเหมา พร้อมกับใช้ชื่อบริษัทใหม่เป็น “ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์” เลือกโฟกัสตลาดรับสร้างบ้านหรูสไตล์คลาสสิก 20 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมกับจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2539 ซึ่งเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มออกอาการทรุดหนักแล้ว ทำให้หลายคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มองว่าดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ไม่น่าจะไปรอด

“ผมส่งหมายเชิญสื่อมวลชนให้มาร่วมแถลงข่าวที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ตอนนั้นเรียกว่าโนบอดี้มาก เป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีใครรู้จักประกาศตัวว่าจะเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน 20 ล้านบาท มันสวนทางกับเศรษฐกิจมากจนได้รับความสนใจจากนักข่าวมาก ผมยังจำได้เลยว่า มีนักข่าวมาร่วมงานเปิดตัวบริษัทมากถึง 35 คน ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับบริษัทเปิดตัวใหม่”

เปิดตำนานเจ้าพ่อบ้านหรู "สุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ"

แต่ท่ามกลางวิกฤต ยังมีโอกาสเสมอ เพราะประมาณกลางปี 2540 ที่รัฐบาลในยุคนั้นประกาศลดค่าเงินบาท กลุ่มผู้ส่งออกเป็นกลุ่มที่ได้กำไรค่าเงินบาทเป็นเท่าตัว เงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 25 ล้านบาท กลายเป็น 40 ล้านบาท ขายของเท่าเดิม แต่ได้เงินมากขึ้น ก็เลยได้ลูกค้ารายแรกเป็นเจ้าของธุรกิจส่งออกจิวเวลรี่ สั่งสร้างบ้านมูลค่าเริ่มต้น 22 ล้านบาท รวมตกแต่ง 43 ล้านบาท ต่อเนื่องนั้นก็ได้รับงานต่อเนื่อง และมีมูลค่าสูงขึ้น จนปัจจุบันมูลค่าบ้านสูงสุดที่เอ็มเพอเร่อร์พัฒนาแตะ 260 ล้านบาท/หลังแล้ว

ในเวลานั้นผู้บริโภคคนไทยยังเข้าใจธุรกิจรับสร้างบ้านน้อยมาก โดยตลาดสร้างบ้านเองในปี 2540 มีมูลค่าประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น สร้างโดยบริษัทผู้รับเหมามากถึง 90% และสร้างโดยบริษัทรับสร้างเพียง 10% หรือมีมูลค่าเพียง 3,500 ล้านบาท จนปัจจุบันแม้ผู้บริโภคจะเข้าใจธุรกิจรับสร้างมากขึ้น แต่ตลาดยังเล็กมาก มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของตลาดรวมรับสร้างบ้านเอง 

สำหรับเหตุผลที่เลือกทำตลาดรับสร้างบ้านหรูสไตล์คลาสสิก นอกจากจะเป็นตลาดที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงขึ้นหรือขาลง ก็มีผลต่อการตัดสินใจสั่งสร้างบ้านหรูน้อยมากแล้ว ทีมงานในมือทั้งทีมออกแบบ ทีมก่อสร้าง และทีมควบคุมงานตั้งแต่ช่วงที่ทำรับเหมาก่อสร้างในนามเอ็มไพร์ส กรุ๊ป ยังเป็นทีมงานที่มีความพร้อมในการสร้างบ้านหรูด้วย ส่วนสไตล์คลาสสิก เป็นสไตล์บ้านที่หรูหราและยั่งยืน ไม่ว่าจะยุคสมัยใดสไตล์คลาสสิกก็ยังอยู่ได้ ซึ่งสไตล์ของธุรกิจรับสร้างบ้านในยุคเริ่มต้น ส่วนใหญ่มีอิทธิพลมาจากธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งเวลานั้นโครงการจัดสรรที่เป็นสไตล์คลาสสิกที่น้อยมาก แต่ได้รับความนิยมมาก เช่น หมู่บ้านชิชา พระราม 2 หมู่บ้านเลคไซด์ ฯลฯ จึงเป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจ และจากยอดสั่งสร้างต่อเนื่องของเอ็มเพอเร่อร์ก็เป็นบทพิสูจน์ได้มากทีเดียวว่าเดินมาถูกทางแล้ว

สุรัตน์ชัย กล่าวถึงแนวทางของเอ็มเพอเร่อร์นับจากนี้ ว่า หลังจากที่อยู่ในแวดวงรับสร้างบ้านหรูมายาวนานกว่า 28 ปี ก็ถึงเวลาที่ต้องสำรวจตัวเองจะเดินไปต่อไปทิศทางใด ซึ่งจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุุ่มลูกค้า ทำให้ได้รับรู้ว่าลูกค้าคุ้นเคยที่จะเรียกชื่อบริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ในแบบสั้นๆ ว่า “เอ็มเพอเร่อร์” มากกว่า จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องรีแบรนด์ด้านการสื่อสารครั้งใหญ่โดยแม้จะยังใช้ชื่อบริษัทในการรับสร้างบ้านว่าบริษัท
ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ แต่แบรนด์ที่จะใช้ในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายจะใช้ว่า “เอ็มเพอเร่อร์”

ขณะที่โครงสร้างบริษัทก็ปรับให้ชัดเจนมากขึ้น โดยปัจจุบันมีด้วยกัน 4 บริษัท ได้แก่ 1.ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ บริษัทแม่ที่เปรียบเหมือนเป็นอัมเบรลล่า แบรนด์ เน้นรับสร้างบ้านหรู คิดเป็นสัดส่วนในการสร้างรายได้ให้กับทั้งกลุ่ม 70-80% 2.บริษัท ลีโอ แองเจลโล บริษัทนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากยุโรป สัดส่วนรายได้ 20% 3.บริษัท ออกแบบ เอ็มเพอเร่อร์ ดีวัน รับออกแบบบ้านตกแต่งหลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว และ 4.บริษัท ธนบดี เป็นบริษัทออกแบบและก่อสร้างบ้านขนาดเล็ก ระดับราคา 3-20 ล้านบาท และตกแต่งคอนโดมิเนียม ซึ่งปัจจุบันเจ้าของบ้านที่สร้างบ้านกับเอ็มเพอเร่อร์ 95% ให้สั่งสร้างแบบครบวงจร ก่อสร้างและตกแต่ง มีตกแต่งเองเพียง 5% เท่านั้น

“ถ้าเอ่ยถึงวันแรกจนถึงวันนี้ แม้จะไม่อยากกล่าวคำนี้ แต่ก็ต้องขอพูดว่า มันเกินความฝันไปแล้ว ตอนแรกเริ่มไม่ได้ฝันขนาดนี้ ไม่ได้คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ ไม่คิดว่าทุกคนจะยอมรับเราขนาดนี้ ต่อจากนี้ก็ต้องรักษาคุณภาพ และพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป”สุรัตน์ชัย กล่าว

การเติบโตของเอ็มเพอเร่อร์ บิ๊กบอสแห่งเอ็มเพอเร่อร์ มองว่า ถ้าแบ่งการเติบโตขององค์กรเป็น 4 สเต็ป สเต็ปแรก เข้ามาทำธุรกิจ เริ่มต้นด้วยการเขียนแผนธุรกิจและทำตามแผน สเต็ปสอง อยู่รอด ทีมงานต้องเก่ง ไม่งั้นไม่รอด สเต็ปสาม ทำกำไร ต้องใช้บัญชีเข้ามาช่วย ลดคอสต์ จัดซื้อ บริหารต้นทุน และสเต็ปสี่ เติบโต ต้องใช้เอชอาร์มาช่วยเสริมทัพ เพราะเป็นสเต็ปของการสร้างคนมารับช่วงต่อ ซึ่งปัจจุบันเอ็มเพอเร่อร์กำลังอยู่ในสเต็ปสี่ สร้างทีมงานใหม่ในการทำให้องค์กรเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทวางแผนเรื่องนี้มา 4-5 ปีแล้ว เพราะบริษัทจะเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปไม่ได้ ถ้าขาดบุคลากรที่ดี ซึ่งตลอดระยะเวลา 50 ปีที่มีธุรกิจรับสร้างบ้านในเมืองไทยส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยเจ้าของกิจการเอง ยังไม่เห็นภาพเจนสองเลย

ความสำเร็จในวันวานที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงตำนานที่กล่าวขานถึง แต่วันนี้ต้องมองไปข้างหน้า ความสำเร็จในอนาคตขึ้นอยู่กับสเต็ปสี่เป็นสำคัญ ใครปั้นคนได้เร็ว สร้างทีมงานที่จะมาสานต่อธุรกิจได้ ก็จะเดินต่อไปยังเส้นทางธุรกิจรับสร้างบ้าน

เปิดตำนานเจ้าพ่อบ้านหรู "สุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ"

ทุบสถิติหลังละ 350 ล้าน

หากใครเป็นแฟนละครช่อง 3 คงคุ้นเคยกับภาพคฤหาสน์ขนาดใหญ่สไตล์คลาสสิกที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครหลายเรื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา และถือเป็นหนึ่งในผลงานอันภาคภูมิใจของเอ็มเพอเร่อร์ โดยจากจุดเริ่มต้นเข้าสู่ธุุรกิจรับสร้างบ้านด้วยการสร้างบ้านหลังแรกให้กับเจ้าของธุรกิจส่งออกจิวเวลรี่ในช่วงปลายปี 2540 มูลค่าบ้านเริ่มต้น 20 ล้านบาท รวมมูลค่าตกแต่งแล้วอยู่ที่ 43 ล้านบาท ต่อจากนั้นมูลค่าบ้านเริ่มต้นก็ไต่ลำดับขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 30 ล้านบาท 50 ล้านบาท 80 ล้านบาท

แล้วในปี 2547 ก็ได้เห็นผลงานคฤหาสน์หลังใหญ่สุดรวมมูลค่าตกแต่ง 216 ล้านบาท ต่อจากนั้นราคาสูงสุดก็ทุบสถิติใหม่ต่อเนื่องเป็น 260 ล้านบาท 320 ล้านบาท แล้วภายในปี 2559 นี้ เอ็มเพอเร่อร์กำลังจะได้งานรับสร้างคฤหาสน์หลังใหม่ ซึ่งเป็นสถิติใหม่อีกครั้งที่ 350 ล้านบาท

สุรัตน์ชัย กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะยังไม่ได้ฟื้นตัวขึ้นมาก แต่ธุรกิจบ้านหรูยังไปได้ สะท้อนได้จากยอดสั่งสร้างบ้านหรูที่มีเข้ามาต่อเนื่อง และล่าสุด เอ็มเพอเร่อร์กำลังได้รับงานสำคัญจากลูกค้าในแวดวงลีสซิ่ง จ.สุโขทัย กับการสร้างคฤหาสน์สไตล์คลาสสิก มูลค่ารวมตกแต่งราว 350 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งผลงานท้าทายที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับเอ็มเพอเร่อร์อีกครั้ง

“บทพิสูจน์ในด้านคุณภาพที่สำคัญของเอ็มเพอเร่อร์ นั่นคือ เรากล้าพาลูกค้าใหม่ไปเจอกับลูกค้าเก่า พาไปดูบ้านของลูกค้า เพราะเรามั่นใจว่าไม่ว่าบ้านหลังนั้นจะผ่านมาหลายปี ก็ยังดูดีพร้อมที่จะอวดโฉมกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังจะสร้างบ้านหรูในอนาคต”

ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปี เอ็มเพอเร่อร์ก่อสร้างบ้านหรูมาแล้วประมาณ 50 หลัง หรือเฉลี่ย 3 หลัง/ปี ด้วยความภูมิใจในผลงาน จึงได้ออกหนังสือ The House of The Emperor เป็นหนังสือที่รวบรวมผลงานของเอ็มเพอเร่อร์ให้เห็นภาพผลงานบ้านคุณภาพทั้งงานสถาปัตยกรรมภายนอก งานตกแต่งภายใน และงานจัดสวน พร้อมเสริมความรู้ด้านงานสถาปัตยกรรมคลาสสิก โดยหนังสือเล่มนี้รวบรวมภาพบ้านระดับสูงให้เห็นทั้งภายนอกและภายใน ที่มาที่ไปของการออกแบบและแนวคิดในการตกแต่งจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป เพื่อเป็นทั้งไอเดียให้กับคนที่กำลังจะสร้างบ้าน และเป็นองค์ความรู้ให้กับแวดวงรับสร้างบ้าน ซึ่งปัจจุบันออกมาแล้ว 2 เล่ม

นอกจากในเมืองไทยแล้ว เอ็มเพอเร่อร์ยังเริ่มชิมลางสยายปีกรับงานสร้างบ้านในต่างประเทศ ประเดิมที่ประเทศลาว โดยช่วงแรกที่เข้าไปทำตลาดในลาวได้ร่วมทุนกับบริษัท อินทรี กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการก่อสร้างในลาว ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก และปัจจุบันบริษัทก็เปิดกว้างกับการหาพันธมิตรรายใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยคนลาวรู้จักเอ็มเพอเร่อร์จากละครไทยหลายเรื่องที่ใช้บ้านของลูกค้าที่บริษัทเป็นผู้สร้างให้เป็นฉากในการถ่ายละคร ซึ่งละครหลังข่าวของไทยมีอิทธิพลกับพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคในลาวมาก

เปิดตำนานเจ้าพ่อบ้านหรู "สุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ"

สำหรับบ้านหรูที่เอ็มเพอเร่อร์ได้เข้าไปรับงานในลาว ขณะนี้มีด้วยกัน 2 หลัง คือ คฤหาสน์ มูลค่ารวมตกแต่ง 250 ล้านบาท และบ้านหรูที่จำปาศักดิ์ มูลค่ารวมตกแต่ง 60-70 ล้านบาท ซึ่งแล้วเสร็จส่งมอบเป็นที่เรียบร้อย โดยเมื่อไม่นานนี้ เจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ได้จัดงานเปิดบ้านให้คนสำคัญของประเทศลาวร่วมเยี่ยมชมบ้าน จึงมีแนวโน้มที่จะได้งานสร้างบ้านหรูหลังใหม่ๆ ที่ลาวต่อเนื่อง เพราะธุรกิจรับสร้างบ้านหรูที่เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบนจะต้องใช้เครือข่ายที่เป็นกลุ่มคนระดับบนด้วยกัน

ขณะที่ในประเทศอื่นๆ ปีนี้มีแผนจะร่วมงานแฟร์เกี่ยวกับการสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยที่พม่าและเขมร คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีในการเปิดตลาดใหม่ๆ และเป้าหมายของแบรนด์เอ็มเพอเร่อร์ในอนาคต หลังจากมีทีมที่แข็งแกร่งแล้ว ต้องเติบโตให้ไกลกว่าตลาดในไทย ต้องบุกตลาดอาเซียนได้ ส่วนตลาดในไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดสั่งสร้างบ้านหรูไว้ที่ 400 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วที่มียอดสั่งสร้างบ้านหรู 380 ล้านบาท ส่วนบริษัทลูกต่างๆ คาดว่าจะมีมูลค่างานราว 100 ล้านบาท

ก้าวแห่งความสำเร็จของเอ็มเพอเร่อร์ในวันนี้อาจเป็นแนวทางให้คนทำธุรกิจรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ โดยสุรัตน์ชัย กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากเติบโตแบบก้าวกระโดด อยากจะประสบความสำเร็จเร็ว อยากเป็นแบบมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก อยากเป็นสตาร์ทอัพที่สร้างธุรกิจมาเพื่อหวังจะขายให้ได้กำไรภายในชั่วข้ามคืน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่อยากฝากกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ คือ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด การเติบโตในแบบสเต็ปบายสเต็ป หรือการเติบโตทีละขั้นเป็นสิ่งที่ใช้ได้เสมอ อย่าคิดโตเร็วถ้ายังไม่แข็งแรงพอ เพราะไม่มีใครเป็นอย่างมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ได้ทุกคน มีฝันไกลได้ แล้วค่อยๆ ก้าวไปให้ถึง ก่อนจะรวยได้ ก่อนจะประสบความสำเร็จได้ ต้องยืนให้มั่นคงก่อน แล้วเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน