posttoday

ตีโจทย์เศรษฐกิจไทยดิ่งยาว...10 ปี ปัจจัยใน-นอก รุมเร้าหนัก

16 มีนาคม 2559

"ที่ผมพูดคือเศรษฐกิจจะแย่ นายทหารท่านนั้นจึงท้าพนันผมเลย ถ้าไม่แย่คนละพันไหม แล้วผมก็รับคำท้าว่าเอาเลย ผมอยากเสียพนันพันนึง นายทหารก็บอกว่าคุณกระจอกไม่รู้เรื่องหรอก แล้วผมก็บอกว่าผมพูดแล้วอีก 3 เดือนมาดูกันว่ามันจะแย่หรือเปล่า สุดท้ายมันก็แย่จริงๆ"

โดย...ฐายิกา จันทร์เทพ, ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกำลังเป็นปัญหาหนักอกของรัฐบาลในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระยะ แต่ช่วยได้เพียงระดับหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วตัวเลขเศรษฐกิจที่หน่วยงานภาครัฐประกาศออกมาก่อนหน้านี้ล้วนแต่สะท้อนในทางที่ไม่ดีอย่างที่รัฐบาลตั้งความหวัง

พิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย (พท.) อดีต รมว.พลังงาน และอดีต รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษกับโพสต์ทูเดย์ถึงภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจของไทย ว่า “ตอนนี้น่ากังวล สัญญาณการส่งออกล่าสุดเมื่อเดือน ม.ค. 2559 ลดลง 8.91% เมื่อภาพการส่งออกทรุดลงแบบนี้และประกอบกับการลงทุนจากต่างประเทศที่หายไปอีก 78% ถามว่านั่นใช่สัญญาณว่าต่างประเทศทิ้งประเทศ ไทยแล้วหรือไม่ เขาไม่เอาแล้วหรือเปล่า ผมมองว่าที่เป็นแบบนี้ค่อนข้างชัดว่าเศรษฐกิจเราจะดิ่งไปอีกมาก เพราะเมื่อการลงทุนไม่เกิด อนาคตการส่งออกก็แย่”

ดังนั้น เมื่อไม่มีการลงทุน ไม่มีการส่งออก เศรษฐกิจไทยจะฟื้นต้องใช้เวลาอีกมาก อยากเตือนทุกคนว่าเศรษฐกิจขณะนี้หนักมากจะทำให้คนลำบากขึ้น ที่น่าห่วงคือ จะทำให้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี กินเวลายาวและต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีก 5-10 ปี ที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลาฟื้นตัวอีก 5-10 ปี จะนับจากหลังที่เรามีการเลือกตั้งและการเลือกตั้งนั้นต้องเลือกตั้งด้วยความสงบ แล้วประเทศเข้าสู่ในหลักเกณฑ์ที่รับได้ ไม่ใช่การเลือกตั้งที่มีรัฐธรรมนูญแล้วไม่ได้รับการยอมรับ

พิชัย อธิบายอีกว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจเรื่องการลงทุน สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นไม่ได้ลดลง เพราะในภูมิภาคนี้มีการเจริญเติบโตสูง แม้มีเงินไหลเข้ามามาก แต่ไหลไปที่อื่น เช่นตัวเลขการลงทุนของเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ทุกประเทศตัวเลขขยายหมด มีแต่ของไทยที่ลดลง อย่าไปมองว่าเศรษฐกิจโลกแย่อย่างเดียว ถามว่าเศรษฐกิจประเทศไทยเจอเกิดจากอะไร ประเทศเดินไม่ได้เศรษฐกิจจะเสียหายมาก

สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยจากปัญหาเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของสาธารณรัฐประชาชนจีนและราคาน้ำมันที่ผันผวน ซึ่งอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจรายนี้อธิบายในสาระสำคัญดังนี้

ปัจจัยแรกคือจีน ทันทีที่เปิดศักราชใหม่ เศรษฐกิจจีนก็แย่เลยตลาดหุ้นจีนตกอย่างมากต้องหยุดการซื้อขายสองครั้ง ค่าเงินหยวนอ่อนลง ถ้าเรามองทั้งโลกเศรษฐกิจจีนจะเป็นปัญหาหลัก เพราะปัญหาจีนมีหลายอย่างเริ่มโผล่ขึ้นมา ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโตเร็วก็จริง แต่มีปัญหาในเรื่องธรรมาภิบาล ปัญหาหลักของจีน เวลานี้ไม่ต่างจากปัญหาเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 2540 เมื่อจีนปล่อยให้หุ้นโต 150% ภายใน 1 ปี แต่การเจริญเติบโตลดลงหุ้นก็ต้องทรุด เนื่องจากจีนต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์โตเท่าสหรัฐแต่ทำไม่ได้ ดังนั้นเศรษฐกิจจีนก็ต้องใช้เวลาอีกนานอย่างต่ำ 3-5 ปี

ปัจจัยที่ 2 ราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะมีราคาต่ำไปอีก 10 ปี หรืออาจจะไม่ขึ้นก็ได้ โดยมีปัจจัยมาจากการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ จำนวนมาก ขณะเดียวกันการใช้น้ำมันก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะมีพลังงานทางเลือกมาก เช่น ไฟฟ้า เมื่อน้ำมันราคาลดลงประเทศที่ผลิตน้ำมันส่งออกก็มีปัญหา ราคาน้ำมันที่ผันผวนส่งผลไปถึงราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงตามด้วย ไม่ต่างอะไรกับราคาสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะยางพารา เหนื่อยมากไม่มีทางขึ้นเพราะถ้าน้ำมันถูกราคายางพาราก็จะลงตามไปตลอด เพราะยางสังเคราะห์จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าก็จะเป็นปัญหาระยะยาว

แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย แต่ในทัศนะของพิชัยมองอีกด้านว่าไม่ควรมองเพียงมิติเศรษฐกิจโลกเพียงอย่างเดียว เพราะต้องย้อนกลับมาดูปัจจัยต่างๆ ภายในประเทศไทย ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่ต่างกัน

“เมื่อเรามองปัญหาจากปัจจัยภายนอกแล้ว เราย้อนกลับมามองปัญหาภายในของไทยด้วยที่ค่อนข้างเหนื่อย ผมเคยเตือนมาตลอดว่าถ้าต่างประเทศเขาไม่มั่นใจเราว่า เหตุการณ์ต่างๆ จะจบลงเมื่อไหร่ หรือถ้าไทยถูกแซงก์ชั่น (มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ) นักลงทุนที่ไหนจะมาลงทุน ไม่ว่ารัฐบาลจะไปออกโปรโมชั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าเขามาลงทุนแล้วขายของไม่ได้ ต้องเข้าใจว่านี่คือปัญหา หากเขาไม่ทราบว่าเราจะจบยังไงเลือกไปทางไหน เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะมันไม่คุ้ม”

“ประเทศทั้งอาเซียนเศรษฐกิจเขาดีหมด โดยเฉพาะเวียดนามเศรษฐกิจเขาดาวรุ่งมาก สินค้าการลงทุนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เข้าไปที่เวียดนามหมด เวียดนามเศรษฐกิจเขาโต 6.68% ส่งออกเขาโต 8.1% จะพูดว่าเวียดนามได้จากประเทศไทยก็ได้ เพราะคนไม่มั่นใจในไทยการลงทุนก็หันไปที่เวียดนามหมด เพราะดูตัวเลขการลงทุนต่างประเทศเวียดนามโตได้ การลงทุนต่างประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น 17.4% อย่าไปเข้าใจว่าโลกแย่แล้วประเทศอื่นจะแย่หมด”

“สิ่งที่เราเป็นอยู่อย่างนี้จะทำให้ประเทศเราเสียโอกาส สุดท้ายคนไทยต้องไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาจะโตทันเราและอุตสาหกรรมใหม่ๆ จะไปที่ประเทศนั้นๆหมด”

ที่บอกว่านักลงทุนมองไทยว่ายังไม่มีจุดจบนั้นหมายความว่าอย่างไร? พิชัย อธิบายว่า “คือความสงบ ความน่าเชื่อถือ ความน่าไว้วางใจ หลายประเทศมีกระบวนการพัฒนาประเทศที่ดีขึ้น เช่น เมียนมา กระบวนการพัฒนาของเขามีทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ได้แย่ลง มีการเลือกตั้ง มีการแก้กฎหมายต่างๆ ให้เข้าสู่รูปแบบประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ประเทศเรากลับร่างรัฐธรรมนูญย้อนหลังกลับไป กระบวนการพัฒนาของเราถอยหลัง”

“ลองคิดดูว่าประเทศไหนที่กระบวนการพัฒนาถอยหลังแล้วเจริญบ้าง เราต้องคิดให้ชัดว่าที่เราเดินอยู่ตอนนี้เดินหน้า หรือถอยหลัง การดำเนินการอะไรตอนนี้จะทำอะไรก็ได้ให้ต่างประเทศเขามั่นใจ เพราะเศรษฐกิจเราขึ้นกับต่างประเทศเยอะ ไม่ได้โตด้วยตัวเองได้”

ตีโจทย์เศรษฐกิจไทยดิ่งยาว...10 ปี   ปัจจัยใน-นอก รุมเร้าหนัก

การตลาด แก้ปัญหาไม่ได้

พิชัย ตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลว่า “ย้อนกลับมามองทีมเศรษฐกิจของไทยหลายอย่างมีวิธีคิดที่น่าสงสัย ตอนแรกผมดีใจที่เขารู้ปัญหาที่พูดถึงเสาหลักเศรษฐกิจที่เสื่อม แต่ตอนนี้กลับมาพูดเรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการไม่เน้นการส่งออก ถามว่าถ้าประเทศไทยไม่เน้นการส่งออกจะพึ่งอะไร ดูอย่างสิงคโปร์ที่เขาส่งออกกว่า 100% ของจีดีพี ถ้าประเทศเราเล็กก็ต้องผลิตอะไรเยอะ ที่สร้างกำไรมากแล้วมาพัฒนาประเทศ”

“การบอกว่าเราต้องพึ่งการบริโภคภายในประเทศ คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องพยายามเอากำไรจากการส่งออกมาขยายการบริโภคในประเทศ ให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นสูสีกับการส่งออก ถ้าไม่มีส่งออกจะเอาเงินที่ไหนมาบริโภค รัฐบาลจะแจกเงินไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรอ เหมือนกับถ้าครอบครัวไม่มีเงินจากการทำธุรกิจ ไม่มีเงินกงสี แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปแจกพี่น้อง”

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหรือนโยบายประชารัฐ มองว่าจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่? อดีต รมช.คลัง จากพรรคเพื่อไทย มองว่า “ต้องดูโครงสร้างเพราะสิ่งที่รัฐเอามาอัดแคมเปญ พบว่ามูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น งบลงทุนหายไปเท่าไหร่ จากปีละเป็นล้านๆ บาท แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ 2 แสนล้านบาท แบบนี้จะเอาเงินที่ไหนมาอัดในส่วนที่หายไป ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนว่าสิ่งที่รัฐทำ แค่ประคองเท่านั้น อีกทั้งยังประคองไม่อยู่ด้วยซ้ำเมื่อเทียบสัดส่วนความเสียหาย”

"ผมพูดอยู่เสมอว่าการทำเศรษฐกิจอย่าไปทำแบบการตลาด ที่จะไปพูดโน้มน้าวจะทำโน้นทำนี่ แต่ตัวเลขจริงๆ มันไม่ปรากฏออกมา มันก็ไม่ดี คุณจะมาพูดยังไงก็ได้ไม่ได้ ผิดกับการเมืองที่จะด่าคนไปเรื่อยๆ ด่าได้ วันนี้เขาเป็นคนดีด่าไปเรื่อยๆ วันหนึ่งคนก็เชื่อว่าเขาเป็นคนเลว แต่เศรษฐกิจไม่เหมือนการเมือง ถ้าคนไม่มีตังค์ไม่มีจะกินก็คือไม่มีจะกิน”

“ผมมองว่าวันนี้เรายังตกไม่สุด ปัญหาเศรษฐกิจยังทรุดตัวไปเรื่อยๆ ยังทรุดไปได้มากกว่านี้ ถ้าการส่งออก การลงทุนไม่ขยาย เศรษฐกิจไม่มีทางดี จะพึ่งพาแต่การท่องเที่ยวไม่ได้ เพราะการท่องเที่ยวเป็นตัวเสริมในทางเศรษฐกิจ แต่เราต้องมีภาคการผลิต การส่งออก สร้างรายได้ สร้างงาน ให้เราเจริญต่อไปได้ เราจะทำยังไงให้บริษัทส่งอออกโต แล้วเอารายได้มาช่วยคนข้างล่างให้มีรายได้เพิ่มขึ้น”พิชัย สรุป

ยิ่งปฏิรูปยิ่งถอยหลัง ต้องเร่งสร้างความมั่นใจ

หลังจากวิพากษ์ถึงภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเผชิญในปัจจุบันรวมถึงอุปสรรคที่ต้องเจอในอนาคตแล้ว “พิชัย” ยังให้แง่มุมในการแก้ไขปัญหาไว้อย่างสนใจ โดยย้ำว่าประเทศไทยไม่ควรมียุทธศาสตร์ชาติที่มีผลผูกพันถึง 20 ปี เพราะอาจทำให้ไม่เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ควรเน้นให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียนมากกว่า

“สำหรับยุทธศาสตร์ 20 ปี ถามว่าใครจะรู้อนาคตว่า อีก 20 ปี โลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร ที่ผ่านมา 2 ปีนี้ ใครจะรู้ว่าน้ำมันจะลงเร็วขนาดนี้ โลกเปลี่ยนเร็วมาก แล้วยุทธศาสตร์ 20 ปี บอกว่าห้ามเปลี่ยนแปลง ถ้าโลกเปลี่ยนแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ประเทศเราจะเป็นอย่างไร ขนาดแผนสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เขียน 5 ปี ยังไม่ค่อยจะดีเลย แล้วพอมาทำเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก็อาจเป็นปัญหาได้ในอนาคต จึงต้องคิดทบทวนให้ดีๆ”

“ไม่รู้ว่ารัฐบาลติดกรอบอะไรกับยุทธศาสตร์ ดังนั้นต้องคิดให้ดีผมไม่รู้ว่าเขาต้องการคิดแบบตีกรอบ เพื่อให้รัฐบาลทำอะไรไม่ได้หรืออย่างไร อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นผม ช่วงแรกๆ หากจะให้ตั้งยุทธศาสตร์ 20 ปี คือแนวคิดว่าจะทำอย่างไรตั้งไทยให้เป็นศูนย์กลางอาเซียน นี่คือทางรอดของเรา เราต้องเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้า เอาของแพงๆ มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยนต์ มาอยู่กับเรา เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศ”

“จากนั้นเอาสินค้าอื่นๆ ให้คนไทยเป็นเจ้าของแล้วเอาไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะค่าแรงยังไม่แพงเหมือนกับการมีรถคันแรก ซึ่งไม่ใช่เป็นการประชานิยม แต่มันคือความต้องการให้คนที่อยากได้รถมีรถ และไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียน เมื่อความต้องการและดีมานด์เพิ่มขึ้น เราต้องถูกเลือกเป็นแหล่งลงทุน แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำไว้เดิมก็เหมือนสูญปล่า”

“การจะเป็นศูนย์กลางการผลิต การจำหน่ายและบริการ เราต้องทำให้ทุกคนเชื่อด้วยความเชื่อมั่น สิ่งเรานี้จะโตด้วยระบบของมันเอง กระบวนการดำเนินการภายในประเทศต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนตามหลักสากล แล้วทุกอย่างมันจะเป็นไปตามอัตโนมัติของมันเอง มองให้ชัด คิดให้ชัด และปฏิบัติให้ชัด เมื่อทำได้อย่างนี้จะเดินหน้าและขับเคลื่อนได้อย่างเป็นระบบ”

นอกเหนือไปจากการมียุทธศาสตร์ที่ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตแล้ว พิชัย เห็นว่าควรสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติด้วย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่สุด รวมทั้งต้องทำให้กฎหมายสามารถเอื้อต่อการพัฒนาประเทศไทยเช่นกัน เพราะถ้าทำส่วนนี้ให้เกิดขึ้นได้ ทุกอย่างจะเดินหน้าได้อย่างเป็นระบบ

“หลักที่สุดเลยคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศอย่างไร คุณจะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งก็ตาม ต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ เดิมกระบวนการเป็นประชาธิปไตยเต็มที่แต่วันนี้กลับจะย้อนกลับไปอีก ก็ไม่มีใครเชื่อถือ ถ้าก้าวแล้วถอยหลังมันก็ไม่ได้”

“เรื่องปฏิรูปก็อย่าถอยหลัง ถ้าปฏิรูปแล้วถอยหลังก็เห็นผลกันอยู่ทุกอย่างมันก็จะถอยหลังตามๆ ไป ต้องเข้าใจว่ากฎหมายในโลกปัจจุบัน จะเขียนให้มีความคล่องตัวเพื่อที่จะออกนโยบายแข่งขันกับประเทศอื่นได้ทันที และเพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกพรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลที่จะไปแข่งขันได้ ทั้งหมดนี้เป็นการออกมาเตือนคือด้วยความเป็นห่วงและหวังดี”พิชัย เสนอแนะ

ตีโจทย์เศรษฐกิจไทยดิ่งยาว...10 ปี   ปัจจัยใน-นอก รุมเร้าหนัก

ทุบสถิติ...ปรับทัศนคติ 7 ครั้ง แขกประจำ คสช.

พิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นหนึ่งในนักการเมืองซีกพรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสได้พบกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากที่สุด ที่บอกว่ามีโอกาสได้พบกับ คสช.นั้นไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แต่พบในฐานะที่ถูก คสช.เชิญไปปรับทัศนคติความเห็นต่างทางการเมืองและมุมมองด้านเศรษฐกิจจากที่ออกมาแสดงความคิดเห็นจนไม่กริ่งเกรงอำนาจทหาร

ณ เวลานี้ พิชัยทำสถิติเข้ารับการปรับทัศนคติจาก คสช.ไปแล้ว 7 ครั้ง เจ้าตัวพูดขำๆ กับโพสต์ทูเดย์ว่า “ไม่รู้หลังจากนี้จะถูกเชิญเป็นครั้งที่แปดหรือเปล่า” จากนั้นก็เริ่มเล่าถึงบรรยากาศในค่ายทหารระหว่างการปรับทัศนคติแต่ละครั้งให้ฟัง

ครั้งที่ 1 คือช่วงรัฐประหาร ตอนนั้นก็โดนเรียกกันไปอยู่แล้ว ก็โอเค เขาดูแลดี มีอาหารทะเลกินด้วย มื้อเช้ามีทั้ง โจ๊ก ปาท่องโก๋ กาแฟ ขนมครก กลางวันยังมีสตาร์บัคส์เลย ครั้งที่ 2 ผมไปวิจารณ์เรื่องพลังงาน เรื่องน้ำมัน หลังจากนั้นก็มีทหารในกองทัพภาคที่ 1 เรียกไปคุย แล้วบอกว่าที่วิจารณ์นั้นมันไม่ใช่ ทั้งที่เขายังไม่รู้เลยว่าผมพูดอะไรไป ซึ่งจริงๆ ผมวิเคราะห์หลายเรื่อง

“ผมชี้แจงกับนายทหารท่านนั้นไปว่า ที่ผมพูดคือเศรษฐกิจจะแย่ นายทหารท่านนั้นจึงท้าพนันผมเลย ถ้าไม่แย่คนละพันไหม แล้วผมก็รับคำท้าว่าเอาเลย ผมอยากเสียพนันพันนึง นายทหารก็บอกว่าคุณกระจอกไม่รู้เรื่องหรอก แล้วผมก็บอกว่าผมพูดแล้วอีก 3 เดือนมาดูกันว่ามันจะแย่หรือเปล่า สุดท้ายมันก็แย่จริงๆ”

ครั้งที่ 3 พิชัย เล่าว่า “อยู่ดีๆ เขาก็มาเชิญผมไป แล้วบอกว่าไปกินกาแฟกันหน่อย อยากกินกาแฟด้วยกัน ผมจึงเชิญเขามาที่โรงแรมกลางใจเมืองแทน แต่เขาก็ไม่มา บอกว่าไม่รู้จัก เมื่อถึงเวลาเขาก็โทรมาเชิญไปที่สโมสรทหารบก วันนั้นผมพาเพื่อนไปด้วย เพราะคิดว่าไปกินกาแฟเฉยๆ แต่พอถึงเวลาจริงเขาก็พาทีมงานมานั่งฟังผมด้วย ให้พูดเรื่องเศรษฐกิจ แล้วก็ถามว่าจะเอาใครมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เขาก็บอกชื่อมาหลายคน การคุยวันนั้นเป็นชั่วโมงเลย แล้วก็มีคนมาจดรายละเอียด แล้วก็บอกให้ผมพูดน้อยๆ ลงหน่อย

ครั้งที่ 4 มีทหารยศพันโทมาหาที่บ้าน พร้อมด้วยรถฮัมเมอร์แบบทหารมาด้วย แล้วผมก็ชี้แจงว่าให้ไปอ่านดูว่าที่ผมพูด ไม่เคยพูดถึงทักษิณสักคำ มีแต่พูดว่าประเทศจะเดินไปยังไง แก้ปัญหาเศรษฐกิจยังไง ดูครอบครัวบ้านพี่สิว่าลำบากไหม บ้านขายของไหม คนเราต้องรับความจริง ผมไม่ได้จะไปกล่าวหาซี้ซั้ว แล้วเขาก็เออออกลับไป แล้วก็ถ่ายรูปไป”

พิชัย เล่าอีกว่า “จากนั้น 2 อาทิตย์ มาอีกเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนของศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) คราวนี้เรียกไปที่สโมสรทหารบก มีนายพล 7-8 คนเลย แล้วมีพันเอก อีกเป็นสิบๆ คน แล้วเขาให้ผมอธิบายสภาพเศรษฐกิจ หลังจากที่ผมไปให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ว่า ‘อย่ากดทุกอย่างให้นิ่ง แล้วประชาชนจะอดอยาก’ แปลว่าอะไร แล้วก็อธิบายว่าถ้าจำกัดสิทธิทุกคนที่วิจารณ์ ไม่ให้คนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ประเทศจะเดินหน้าได้ยังไง

“ผมอธิบายสภาพเศรษฐกิจอย่างละเอียด ทหารก็บอกว่า พี่พูดดีมากเลย พี่ทำรายงานให้ผมหน่อยได้ไหม แล้วจะเอาไปให้นายกฯ ผมจึงบอกว่าที่พูดไป ชั่วโมงสองชั่วโมงที่แล้ว ที่อัดวิดีโอไว้ก็เอาไปให้นายกฯ ดูสิ จะได้รู้ว่าผมพูดอะไร ถ้าพูดผิดผมก็เสียคนเอง จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ก็เชิญไปออกรายการโทรทัศน์เดินหน้าประเทศไทย

“อีกสักเดือนกว่าๆ ก็ถูกเรียกไปครั้งที่ 6 คราวนี้ยังเรียกไปให้อธิบายเรื่องเศรษฐกิจอีกเหมือนเดิม ก็ไปคุยว่าจะเดินหน้าอย่างไร หลังจากอธิบายเสร็จ ทหารก็บอกให้ผมเงียบๆ หน่อยอย่าไปพูดอะไรมาก หลังจากนั้นก็อนุญาตให้ผมเดินทางไปประเทศอังกฤษเลย ส่วนครั้งล่าสุด ครั้งที่ 7 ทหารโทรมาหาผมแต่เช้าหลังจากที่ผมแสดงความคิดเห็นว่าถ้ารัฐบาลยังอยู่ไปอีก 20 เดือน เศรษฐกิจจะมีปัญหา ซึ่งพอโทรมาหาผมเสร็จ เขาก็มารับผมที่บ้าน

“ได้แต่คิดในใจว่ามันแปลก ต้องโดนอะไรแน่ๆ เลย แล้วสักประมาณ 09.30 น. ทหารก็มาถึง แต่ก่อนหน้านั้นผมก็โพสต์เฟซบุ๊กแล้วว่า ผมจะถูกเรียก แล้วก็มีนักข่าวตามมาที่บ้านผม วันนั้นทหารบอกให้ผมขึ้นรถทหารไป ไม่ต้องเอารถไปเดี๋ยวกลับมาส่งเอง พอไปถึงค่ายทหารมีหมอมารออยู่ 5-6 คน มาจับผมวัดความดัน วัดอุณหภูมิร่างกาย หมอทหารแต่ละคนมาถามเลยว่า เศรษฐกิจจะเป็นยังไง พี่ครับผมมีหุ้น ปตท.อยู่จะเป็นอย่างไรบ้าง จะซื้อทองได้ไหม

“จากนั้นมีทีมงานทหารอีกทีมเข้ามา แล้วบอกว่าผมพูดโน่นนี่ มาพูดให้เกิดความแตกแยก แล้วเขาก็ให้ผมไปที่ที่หนึ่ง พออีก 2 วัน มีนายทหารยศพันโท ที่ดูแลที่นั่นมาทักทาย พออยู่ครบ 7 วันก็เอาทหารพระธรรมนูญมาเต็มเลยแล้วบอกว่าผมผิด คดีเพียบเลย 5 คดีนะ นี่ถ้าไม่หยุดพูด ก็จะโดนคดีละ 3 ปี แล้วจะติดคุก 15 ปีเลยนะ ผมก็เลยไม่ค่อยได้พูด”

พิชัย สรุปว่า สิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ คิดว่าการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยเป็นเรื่องที่จำเป็น ไม่ว่าจะเรียกว่าประชานิยมหรือประชารัฐ เมื่อดูแล้วก็ไม่เห็นจะแตกต่างกัน แต่ปัญหาคือ ประชารัฐกลับไม่สามารถทำให้ประชาชนรู้สึกว่าความเป็นอยู่ของตัวเองดีขึ้นได้

“อีกทั้งหลายฝ่ายยังกังวลว่าประโยชน์ของประชารัฐจะตกอยู่กับกลุ่มบางกลุ่มมากกว่าจะตกอยู่กับประชาชน ดังนั้นจึงอยากให้มีการสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ใช้โพลสำรวจที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน” พิชัย สรุป

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68