ร่างรัฐธรรมนูญถอยหลัง ลดอำนาจประชาชน
"สิ่งที่ผมคิดว่ากรรมการร่างฯ ต้องชี้แจงอย่างมาก คือ ทำไมจึงเขียนหมวดสิทธิเสรีภาพ และแนวนโยบายแห่งรัฐที่ถดถอยจากสิ่งที่ประชาชนเคยมีในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550"
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ร่างแรกรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสร็จเรียบร้อย พร้อมส่งต่อไปยังแม่น้ำสายต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับฟังความคิดเห็นสำหรับการปรับปรุงเป็นร่างสุดท้าย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็น
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษโพสต์ทูเดย์ แสดงความเห็นต่อร่างแรกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยเริ่มต้นจากประเด็นแรก ว่าต้องมีความชัดเจนในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความชอบธรรมนั้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้งในอนาคต
ทั้งนี้ ต้องให้ทางเลือกที่ชัดเจน การที่บอกว่าไม่เอาอันนี้แล้วจะเจอสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร ถ้าประชาชนต้องรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพราะเขากลัวว่าจะได้ฉบับใหม่ที่แย่กว่า สุดท้ายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะกลายเป็นปัญหาในอนาคต ดังนั้นต้องมีทางเลือกที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเอาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เทียบกับฉบับก่อนปฏิวัติ หรือจะเอาฉบับนี้เทียบกับการนำฉบับหนึ่งฉบับใดมาปรับปรุง มิฉะนั้นจะไม่เกิดประโยชน์ในการทำประชามติ
“คนจะไปใช้สิทธิ ต้องรู้ว่าจะไปเลือกอะไร ไม่ใช่เกมโชว์ คุณจะเอาทองตรงนี้หรือเอาของที่ปิดอยู่ไม่ได้ เป็นเรื่องสิทธิประชาชนเจ้าของประเทศว่าจะยอมรับกติกาสูงสุดหรือไม่ เขาต้องรู้สิครับว่า ถ้าเขาไม่เอาอันนี้เขาจะได้อะไร ท่านอย่าไปคิดเล่นเกมกับประชาชน คิดว่าถ้าเขาไม่รู้จะผ่านง่ายขึ้น ท่านต้องคิดว่าเขาเป็นเจ้าของประเทศ”
สอง ร่างรัฐธรรมนูญที่เผยแพร่ เมื่อวันที่ 29 ม.ค. กรธ.พูดว่าเป็นร่างแรก ถ้า กรธ.ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นร่างแรกแล้วแก้อะไรไม่ได้ ก็ไม่ใช่ร่างแรก ดังนั้นก่อนไปถึงกระบวนการทำประชามติหวังว่าจะมีการรับฟังความคิดเห็นพอสมควร และต้องปรับปรุงแก้ไขได้ ซึ่งไม่ใช่เพื่อตามใจคน แต่ให้เป็นที่ยอมรับตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เช่น จะปราบโกง หรือปฏิรูป
“ถ้าเราได้ร่างรัฐธรรมนูญที่ดี แล้วผ่านประชามติ จะเป็นความราบรื่นที่สุดของการเมืองไทย แต่ถ้าผ่านไปโดยคนถูกฝืนใจให้รับ ก็รอวิกฤตที่จะเกิดในวันข้างหน้า ถ้าไม่ผ่านประชามติคนก็เห็นอยู่แล้วว่า บรรยากาศการเมืองจะเข้าสู่ความไม่แน่นอน และคาดเดาได้ยากว่าบ้านเมืองจะเดินไปตามโรดแมปได้หรือไม่อย่างไร”
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เริ่มเข้าสู่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงฉบับนี้ โดยมองว่าเรื่องปราบโกงใครก็เห็นด้วย แต่ต้องดูว่าครบวงจรหรือไหม เพราะสังคมจะปราบโกงได้ ประชาชนต้องเข้มแข็ง ตัวแทนประชาชนเข้มแข็ง
“สิ่งที่ผมคิดว่ากรรมการร่างฯ ต้องชี้แจงอย่างมาก คือ 1.ทำไมจึงเขียนหมวดสิทธิเสรีภาพ และแนวนโยบายแห่งรัฐที่ถดถอยจากสิ่งที่ประชาชนเคยมีในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 สิทธิชุมชนชัดเจนว่าหายไป รวมทั้งถ้อยคำที่เขียนเกี่ยวกับการสร้างหลักประกัน การมีส่วนร่วมของประชาชน ถดถอยไปหมดทุกแง่มุม นี่เป็นการถดถอยไปเพิ่มอำนาจรัฐ ลดอำนาจประชาชน
...ผมคิดว่าสวนทางการปฏิรูป สวนทางกับทิศทางที่ควรจะเป็น และในที่สุดจะทำให้กลไกการเมือง ทั้งผู้มีอำนาจและราชการเข้มแข็งเกินเหตุ บังเอิญความน่ากลัว สอดรับวิธีคิดของรัฐบาล และ คสช.ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ที่เห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือหลักประกันของประชาชนเป็นเรื่องน่ารำคาญ”
2.รายละเอียดของกลไกสภาที่จะเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลได้ดีขึ้น นอกจากไม่มีบทบัญญัติช่วยตรงนี้ ยังไปลดทอน เช่น รัฐธรรมนูญไม่มีกระทู้ถามสด หากบอกว่าไปอยู่ในข้อบังคับแล้ว ต่อไปเสียงข้างมากในสภาไปตัดออกจะทำอย่างไร จึงไม่เข้าใจว่า ทำไมไปถอยการเพิ่มอำนาจการตรวจสอบที่จะไปแก้ปัญหาการทุจริต ยังไม่นับอีกหลายเรื่องที่เดินมาไกล อย่างเรียนฟรี 12 ปี ซึ่งถอยไปอยู่ 9 ปี
อีกประเด็น คือ การให้อำนาจองค์กรอิสระ อภิสิทธิ์ มองว่า ปัญหาอยู่ตรงที่มาขององค์กรอิสระ คือ กรรมการสรรหา และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยในส่วนของ สว.นั้นจะมาจากการที่คนสมัครคัดเลือกกันเอง ซึ่งมี 2 ประเด็น 1.ในแง่ประชาธิปไตยการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จำกัด เอาอำนาจไปให้เฉพาะคนที่สมัครเลือกอ้อม เลือกไขว้ 2.วิธีการเลือกตั้งแบบนี้ไม่เอื้อให้คนมีคุณภาพทั้งในแง่ความเป็นตัวแทน หรือความสามารถ
“จะกลายเป็นได้คนที่เก่งล็อบบี้ และหากได้คนที่เก่งล็อบบี้มาเห็นชอบองค์กรอิสระซึ่งเราฝากความหวังเลือกทุจริต มันก็จะเป็นอันตราย ต้องถามคุณมีชัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ของผมอย่างไร ผมเป็นนักการเมือง ควรจะชอบ ถ้าตรวจสอบยาก ล็อบบี้ง่าย แต่นี่เป็นสิ่งที่มีคำตอบและต้องแก้”
ถัดมาที่ประเด็นเรื่องนายกฯ ที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง อภิสิทธิ์ อธิบายว่า สังคมรับได้กับคำชี้แจงเรื่องการถอยหลังให้มีนายกฯ คนนอก เพื่อให้เกิดทางออกเวลาเกิดวิกฤต แต่เมื่อมาเขียนจริงไม่มีเงื่อนไขเรื่องวิกฤต ขณะที่ฉบับอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เขายังมีบทบัญญัติบ่งบอกว่าต้องเป็นวิกฤตพิเศษ เพื่อต้องการมติพิเศษ แต่ฉบับนี้ไม่มี
ที่สำคัญ เวลาคิดถึงคนนอกที่จะมาแก้วิกฤต มักต้องมีลักษณะความเป็นกลาง แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดว่านายกฯ จะต้องมาจากคนที่พรรคการเมืองเสนอ และเสนอได้เพียงแค่พรรคเดียว ดังนั้นจึงเหมือนเป็นคนของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
คำถาม คือ ตกลงคำอธิบายเรื่องเปิดช่องให้คนนอก กับสิ่งที่เขียนในรัฐธรรมนูญตรงกันหรือเปล่า ขมวดกับเรื่อง สว.กับการเขียนเพิ่มอำนาจรัฐ ลดอำนาจประชาชนด้วย จึงเกิดเป็นคำถามว่า นี่จะเป็นประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับปัจจุบันและอนาคตหรือไม่
อภิสิทธิ์ เห็นว่า ในส่วนของระบบเลือกตั้งนั้นภาพรวมดี แต่การมีบัตรใบเดียวทำให้เกิดการต่อสู้รุนแรง ซื้อเสียงรุนแรง และยุ่งยาก โดยเฉพาะเวลาให้ใบเหลืองใบแดง ต้องมาปรับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ และมาปรับจำนวน สส. รวมทั้งกรณีผู้สมัครพรรคหนึ่งได้ไปแล้วทั้งเขต และปาร์ตี้ลิสต์ ไปเลือกนายกฯ เสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่ามาถูกถอดทีหลัง ก็ต้องถอดปาร์ตี้ลิสต์ด้วย จะต้องเอาคะแนนเลือกตั้งซ่อมเข้ามาคำนวณ ยุ่งยากเกินเหตุ
“ระบบนี้ผมว่าค่อนข้างสมบูรณ์เพียงแต่เปลี่ยนเป็นกาสองใบ ใบหนึ่งเลือกพรรคอีกใบเลือกคน แล้วมาคำนวณตามหลักที่เขียนไว้”
นอกจากนี้ ยังต้องมีการชี้แจงเรื่องการให้บุคคลต่างๆ เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน เข้าไปถวายสัตย์ฯ ต่อพระมหากษัตริย์ได้ ซึ่งไม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหมวดพระมหากษัตริย์ ซึ่งความจริง การถวายสัตย์ฯ แก้มาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ทรงโปรดกล้าฯ ให้มีผู้แทนได้ แต่กลับมาบอกอีกว่าให้ทำหน้าที่ไปก่อนปฏิญาณตนได้
“อันนี้ผมว่าไม่ถูกต้อง ไม่อยากมาเถียงว่า ดี-เลว รับ-ไม่รับ เราเห็นว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงบางเรื่อง เราเห็นว่าที่เขียนมาดีอยู่แล้ว แต่การปราบโกงกับความเป็นประชาธิปไตยไปคู่กัน เพราะสังคมที่ปราบโกงได้ คือ สังคมที่สามารถมีส่วนร่วมตรวจสอบถ่วงดุลได้ เพราะฉะนั้นผมอยากให้ กรธ. ยอมรับว่าต้องไปทำเรื่องสิทธิเสรีภาพใหม่อุดช่องว่าง ทำให้กระบวนการประชาธิปไตยทางการเมืองดีกว่านี้ ซึ่งร่างอย่างไรก็ไม่มีทางถูกใจทุกคน แต่ว่ามันต้องมีคำตอบในพื้นฐานแต่ละเรื่อง”
เรื่องการกระจายอำนาจก็ถอยหลัง ซึ่งเคยหวังว่าจะเดินหน้าทั้งเรื่องท้องถิ่น หรือการมีส่วนร่วมภาคประชาชน แต่สุดท้ายกลับย้อนกลับไปก่อนยุคปี 2540 เหมือนรัฐกับราชการเป็นคนขีดเส้นว่าคุณจะมีส่วนร่วมได้แค่ไหน มีอำนาจได้แค่ไหน กลับจากปี 2540 หรือ2550 ที่เขียนให้อำนาจเป็นของประชาชน
อภิสิทธิ์ ขยายความเพิ่มอีกว่า ในหมวดนโยบายรัฐก็ย้อนกลับไปเป็นรัฐบาล “พึง” ไม่ใช่รัฐบาล “ต้อง” หมวดสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าไม่ปรับตรงนี้ จะเป็นจุดความขัดแย้งในอนาคต ยังไม่รวมกับองค์กรอิสระเกี่ยวกับผู้บริโภคก็หายไป องค์กรอิสระเรื่องสิ่งแวดล้อม มาตรา 67 ก็หายไป สิทธิชุมชนหายไปเป็นเรื่องใหญ่
ส่วนที่ กรธ. อธิบายว่า สิทธิมีอยู่แล้วตามปกติหากไม่ได้เขียนห้ามไว้นั้น อภิสิทธิ์ บอกว่า ทั่วโลกที่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรับรองสิทธิ เพราะรัฐธรรมนูญแก้ยาก ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างไปอยู่ที่กฎหมาย รัฐบาลแต่ละยุคเขาแก้กฎหมายโดยเสียงข้างมาก นั่นคือเหตุผลถึงการให้ความสำคัญกับสิทธิไว้อย่างเข้มข้นในรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลในยุคไหนมาละเมิดวัตถุประสงค์เบื้องต้น
เรื่องการปราบทุจริตเป็นจุดแข็งของร่างรัฐธรรมนูญนี้ แต่ต้องระมัดระวังว่า หากเอาประเด็นนี้มากลบเกลื่อนจุดอ่อนบกพร่อง หรือไม่รับฟังคนอื่น ไม่ได้ มันต้องมองภาพให้มาต่อกัน เวลาภาคประชาชนอ่อนแอ ใช้สิทธิเสรีภาพได้อยาก การทุจริตทำได้ง่ายขึ้น
“ผมปฏิบัติกับร่างนี้เสมือนร่างแรก เสนอความคิดเห็นเพื่อให้ท่านปรับปรุง ไม่อยากมานั่งตอบคำถามว่า รับ-ไม่รับ จนกลายเป็นเรื่องเถียง ขู่ ต่อรอง ไม่ใช่ ผมอยากเห็นปัญหารัฐธรรมนูญจบ ผมอยู่การเมืองมาหลาย 10 ปี เราเสียเวลาเรื่องรัฐธรรมนูญมามากกว่าหนึ่งทศวรรษ ขณะที่ประเทศกำลังถดถอย ทั้งเศรษฐกิจ การแข่งขัน สวัสดิการ ความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ทำไมต้องให้สังคมมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ ทำไมเราไม่ทำให้ดีที่สุด” อภิสิทธิ์ กล่าว
นายกฯ ต้องนำปฏิรูป
เข้าสู่โรดแมประยะที่ 2 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงภารกิจต่างๆ ที่ยังไม่คืบหน้าไปไหน โดยเฉพาะ “ปฏิรูป” อภิสิทธิ์ มองว่า เห็นความตั้งใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยากจะทำเรื่องที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ฯลฯ
ทว่าข้อจำกัดเยอะ ทั้งสภาพการเป็นรัฐบาลที่มีข้อจำกัด ขณะที่ศรษฐกิจไม่เอื้อ และยังหนักหน่วง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พยายามหามาตรการคอยกระตุ้นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ไปไม่ถึงพื้นฐาน เงื่อนไข เศรษฐกิจน่าเป็นห่วง และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีอะไรก็ยาก
สอง เรื่อง “ปฏิรูป” เคยเสนอว่า ถึงขั้นนี้รัฐบาลต้องเป็นผู้นำ ปัญหาของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คือคนทำไม่มีอำนาจ ดังจะเห็นจากกรณี เรื่ององค์กรอิสระผู้บริโภคที่หายไปจากร่างรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอมา แต่สุดท้ายรัฐบาลไม่เอา
ดังนั้น การปฏิรูปจริงๆ อยู่ที่รัฐบาล วันนี้อยากให้นายกฯ เป็นผู้นำทำ 2-3 เรื่อง อย่างเรื่องการปราบโกง ที่ควรทำให้เป็นระบบสอดรับร่างรัฐธรรมนูญที่เขียน รวมทั้งต้องรีบทำเรื่องเร่งด่วนก่อน ส่วนเรื่องที่ต้องใช้เวลาอาจต้องรอ เพราะถ้าพยายามทำทุกเรื่องจะไม่ได้สักเรื่อง จึงอยากให้จัดลำดับความสำคัญ
ด้านความคืบหน้าในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา สำหรับเรื่อทุจริตที่เป็นธงสำคัญของ คสช. อภิสิทธิ์ เห็นว่า จากที่มีกฎหมายการอำนวยความสะดวกทางราชการที่ออกมาแล้วนั้น ในหลักการถือว่าดีมาก แต่ไม่มีคู่มือให้ส่วนราชการไปทำ ก็ยากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรม แต่ก็มีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องทำ ทั้งเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง การป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย และอื่นๆ ที่ต้องทำเชื่อมโยงเป็นระบบ หากทำได้สำเร็จก็จะแก้ปัญหาการทุจริตได้
อภิสิทธิ์ อธิบายอีกว่า การปฏิรูปต้องเริ่มจากการมีหลักเสียก่อนว่า ปฏิรูปบนหลักอะไร อย่างเช่น เพิ่มอำนาจประชาชน
ลดอำนาจรัฐ ก็เป็นแนวที่ทำมาตั้งแต่สมัย อานันท์ ปันยารชุน และหมอประเวศ วะสี แต่ กรธ.กลับไปทำสลับกลับหัวกลับหางไปหมด
“นายกฯ เป็นคนที่ประชาชนให้ความเชื่อถือ ต้องเอาตรงนี้มาเป็นตัวขับให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การจะไปพึ่งกลไกอื่นนั้นยาก ด้วยความเคารพ ทั้ง ครม. สปท. สนช. ความสามารถเชื่อมสร้างพลังทางสังคมน้อยมาก ตอนนี้มีแต่นายกฯ”
ถามว่า ที่ผ่านมา 2 ปี สิ่งที่ทั้ง สปช. สปท.ทำ ดูเหมือนจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง อภิสิทธิ์ ตอบว่า อย่างที่บอก สปท.ฟังดูเหมือนคนขับรถดี แต่จริงๆ แค่นั่งเบาะหลัง บ่นอยู่นั่น ทำไมไม่เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ขับเร็วหน่อย เหยียบเบรกหน่อย แต่คนขับไม่จำเป็นต้องฟัง หรือฟังก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องลำบาก
ส่วนกระแสที่ต้องการให้ทำปฏิรูปให้สำเร็จก่อนจะไปเลือกตั้งที่อาจทำให้โรดแมปต้องเลื่อนออกไปนั้น อภิสิทธิ์ เห็นว่า ถ้าคุณใช้ตรรกะว่าจะอยู่ต่อ ต้องมีความชัดเจนว่าจะต่างจากที่ผ่านมาอย่างไร เพราะถ้าทำงานไม่สำเร็จหลายครั้ง จะเป็นเหตุผลหรือไม่ที่จะต้องอยู่ต่อไปจนกว่าจะทำงานสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปจะต้องสร้างพลังของสังคม เรื่องทุจริตมีโอกาสที่จะทำได้มากที่สุด เพราะกระแสสังคมช่วยหนุน หรือเรื่องปฏิรูปตำรวจ เพราะมีคนเรียกร้อง แต่ก็พบว่ามีการติดขัดเดินไปยาก ขณะที่เรื่องอื่นๆ อย่างการปฏิรูปการศึกษาคุณรู้ไหมว่าเขาจะทำอะไร ถ้าไม่รู้ก็เดินไปได้ยาก
เรื่องการปราบทุจริตจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งการปราบโกงที่ดีที่สุด คือ การลดอำนาจคนใช้อำนาจ


