"ทุเรียนเทศไม่ใช่ผู้ร้าย".. ข้อเท็จจริงอีกมุมจากแพทย์สมุนไพร

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

กระแสข่าว "กินใบทุเรียนเทศรักษาโรคมะเร็ง" ที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ จนแพทย์ต้องออกโรงเตือนว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะถึงแม้มีรายงานพิสูจน์ว่ามีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งจริง แต่อาจส่งผลข้างเคียงทำให้ตับและไตวายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพอยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง

ที่สำคัญ ข่าวสารผิดๆอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงตามมาอย่างคาดไม่ถึง !!

ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เจ้าของรางวัลเภสัชกรดีเด่นเพื่อสังคม และบุคคลดีเด่นของชาติด้านแพทย์แผนไทย บอกว่า ปัจจุบันสุขภาพคนเมืองขึ้นอยู่กับไลน์ สุขภาพของคนชนบทขึ้นอยู่กับดีเจวิทยุชุมชน ถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมาก

"ข่าวทุเรียนเทศก็เหมือนข่าวสมุนไพรรักษาโรคมะเร็งตัวอื่นๆ มันเป็นกระแสที่เข้ามาเป็นระลอก เช่น ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวว่ามะรุมคือยาวิเศษ รักษาความดัน เบาหวาน แต่กินมากตับก็พังเหมือนกัน ทุเรียนเทศมีขายในต่างประเทศ มีข่าวลือว่ารักษามะเร็งให้หายขาดอย่างนั้นอย่างนี้ระบาดมาถึงไทย คนเห็นข้อมูลเพียงน้อยนิดก็เชื่อก็แชร์กัน แต่นี่ไม่ใช่ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เป็นข้อมูลที่ขาดวิ่น

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความผิดพลาดในเรื่องบริการสาธารณสุข ถามว่าถ้าบริการฟรี โรงพยาบาลมีคุณภาพ แต่ทำไมยังมีคนแห่ไปซื้ออาหารเสริม ยังเชื่อดีเจ เชื่อลิงค์ที่เขาแชร์กันมาเป็นทอดๆ ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องเฝ้าระวังข่าวสารด้านสุขภาพที่เป็นอันตรายแก่ประชาชนอย่างจริงจัง รณรงค์ให้ประชาชนอย่ากินอะไรที่ไม่รู้จัก ไม่มีข้อมูล และไม่คุ้นเคย ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพที่ผิดๆไม่ต่างจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่อาจทำให้ถึงตายได้"

แม้วิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้า มียาต้านมะเร็งใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย แต่คนจำนวนไม่น้อยยังหันไปพึ่งสมุนไพรเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรรายนี้ ย้ำว่า ยาต้านมะเร็งใหม่ๆใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์ แม้มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง แต่ก็มีผลข้างเคียงเช่นเดียวกับทุเรียนเทศ

"ทุเรียนเทศมีฤทธิ์ในการฆ่ามะเร็งเหมือนยาต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง นอกจากจะทำลายเซลล์มะเร็ง ยังมีคุณสมบัติทำลายเซลล์ปกติด้วย ดังนั้นที่แพทย์แผนปัจจุบันออกมาเตือนไม่ให้กิน เพราะจะทำให้ตับ ไตวาย จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ยาแผนปัจจุบันก็มีผลข้างเคียงเหมือนกัน ผู้ป่วยที่กินยาต้านมะเร็งก็ตายเพราะผลข้างเคียงก็มีให้เห็นเยอะแยะ

"ทุเรียนเทศไม่ได้เป็นผู้ร้ายเสียทีเดียว เพราะถ้ายาแผนปัจจุบันกินแล้วหายจริงๆ คนคงไม่มาพึ่งทุเรียนเทศ การที่คนมาแห่กินใบทุเรียนเทศ แสดงว่ายาแผนปัจจุบันไม่ใช่คำตอบของเขา หากผู้ป่วยมีร่างกายปกติ มีทางเลือกที่ดีที่มีโอกาสหายมากกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องกินใบทุเรียนเทศ แต่ถ้าคิดว่ายาแผนปัจจุบันไม่มีความหวังแล้ว อยากจะลองทางเลือกใหม่ๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา

"สิ่งสำคัญคือ ควรตระหนักว่าใบทุเรียนเทศก็เหมือนยาต้านมะเร็งคือ นอกจากฆ่ามะเร็งแล้ว ยังมีสิทธิ์จะฆ่าเซลล์ปกติด้วย ถ้าจะกินก็ต้องยอมรับเงื่อนไขตรงนี้ เราต้องเป็นนักเรียนรู้ทั้งสองด้าน เรื่องยาเป็นเรื่องใหญ่ แพงเท่าไหร่คนก็จ่ายเพราะต้องการแลกกับการมีชีวิตอยู่ รัฐบาลควรมีช่องทางวิจัยเพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตนเองของประชาชน เปิดเผยข้อมูลทั้งสองด้านอย่างตรงไปตรงมา คุณจะกินยาต้านมะเร็งสมัยใหม่ หรือกินสมุนไพร เช่น หญ้าปักกิ่ง มีงานวิจัยยืนยันว่าฆ่ามะเร็ง กินแล้วปลอดภัย ปลูกเองได้ ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะต้องรู้ว่ามีสรรพคุณอย่างไร มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหรือไม่ ก็ต้องมีข้อมูลให้เขาเปรียบเทียบ"

เจ้าของรางวัลเภสัชกรดีเด่น มองว่า โรคภัยไข้เจ็บแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ไม่กินอะไรก็หายได้ 2.รักษาทั้งแผนปัจจุบันและแผนทางเลือกก็หายได้ทั้งคู่ 3.บางเคสรักษาตามแผนปัจจุบันดีกว่า บางเคสรักษาแผนทางเลือกกลับดีกว่า และ 4.ใช้อะไรก็ไม่ได้ผล

"ถามว่ากินใบทุเรียนเทศแล้วหายจริงไหม ส่วนตัวคิดว่าไม่ เพราะโรคมะเร็งมีกลไกซับซ้อน ที่ผ่านมาโลกเรามีวิวัฒนาการมากมายแต่ยังเอาชนะไม่ได้ เพราะกลไกที่มันเกิดเรายังไม่รู้แน่ชัดเลยว่ามีสาเหตุจากอะไรกันแน่ โอกาสที่จะหายขาดจึงค่อนข้างยาก"

สำหรับกรณีทุเรียนเทศ ถ้ารอให้ผ่านขั้นตอนการทดลองในมนุษย์จนได้ผลสำเร็จและพัฒนาเป็นยานำมาใช้ได้จริง มีความเป็นไปได้หรือไม่ในอนาคต?

"กว่าจะได้ยาใหม่คงยาก เพราะใช้ทุนสูง อีกอย่างบริษัทยาต่างชาติไม่มีทางยอมให้วิจัยอยู่แล้ว บริษัทยาต้านมะเร็งเอาเปรียบคนมาก รู้ว่ายังไงก็ต้องตายแต่ยังขายยาในราคาที่แพงแสนแพง ยาที่จะมีการวิจัยเพื่อให้ชาวบ้านใช้ไม่มีอีกแล้ว เพราะไม่สามารถเอาไปขายในเชิงทางการค้าได้ ฉะนั้นอย่าไปหวัง"

นี่คือมุมมองอีกด้านหนึ่งที่มีต่อกระแสทุเรียนเทศรักษาโรคมะเร็งของ ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร เภสัชกรดีเด่นเพื่อสังคม และบุคคลดีเด่นของชาติด้านแพทย์แผนไทย