"สมคิด"ไม่แปลกใจสหรัฐ-อียูบอยคอตชี้แค่หัวโขน

"สมคิด" ชี้ ประเทศใหญ่มีปฏิกิริยาด้านลบกับไทยไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นแค่หัวโขนและผลประโยชน์ ระบุไทยต้องแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจปฏิรูปประเทศ

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และอดีตรมว.พาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่สหภาพยุโรประงับความร่วมมือทางการค้าการลงทุนกับไทย ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 22 พ.ค. จะถูกจะผิดประวัติศาสตร์จะเป็นเครื่องตัดสิน แต่อย่างน้อยความรู้สึกกับสถานการณ์ในประเทศเป็นที่รับรู้กันได้ภายในว่าดีขึ้น

ส่วนภายนอกบางประเทศยังมีปัญหาบ้างโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วที่ขุ่นเคือง และตั้งคำถามกับไทย พร้อมมีปฏิกิริยาบางอย่าง แต่ถือว่าการแสดงออกดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจในโลกสมัยใหม่ ที่ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรูปแบบที่ไม่อยากให้มี

ทั้งนี้ แต่ละประเทศจะมีปฏิกิริยาแรงบ้าง เบาบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นสวมหัวโขนอะไร จึงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปโกรธเคืองกัน เพราะต่างประเทศมีมุมมอง มีความเชื่อ และมีผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา มีสภาพสังคมที่ทะเลาะกัน ใกล้จะเกิดสงครามกลางเมือง เข่นฆ่ากัน เป็นยุคที่ระเบิดเอ็ม79 จะไปหล่นที่บ้านใครก็ได้แล้วแต่จะกรุณาหรือไม่ ซึ่งต่างประเทศคงเห็นและรับทราบแต่จะให้น้ำหนักความสำคัญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการแสดงบทบาทในเวทีโลก

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนไทยเองต้องมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ดีขึ้น ให้ผลง่นพูดแทน ให้ความตั้งใจ การรักษาคำมั่นสัญญาในการปฏิรูปประเทศ ตอบแทนคนไทยในสังคมโลก ซึ่งเชื่อว่า หากเรามุ่งมั่น ทำงานอย่างจริงจังตามที่ให้สัญญา ไม่ช้าทุกสิ่งจะดีขึ้น และเมื่อนั้นประเทศทั้งหลายจะหันกลับมาหาเราอีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะตลาดภูมิภาคอาเซียนกำลังเป็นที่สนใจ และประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในอาเซียน ซึ่งประเทศเหล่านั้นเห็นถึงประโยชน์ตรงนี้อยู่แล้วก็คงกลับมา

"ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเรื่องที่ต่างประเทศมีปฏิกิริยากับเราเป็นสิ่งปกติของโลก เราต้องแสดงความมุ่งมั่นจริงจังในการแก้ปัญหาและปฏิรูป ซึ่งช่วยให้ความเชื่อมั่นคืนกลับมา ในเรื่องนี้เราคงไม่ไปตอบโต้ แค่ทำให้เขาเห็นว่าเราตั้งใจ ทำจริง ส่วนอียูและสหรัฐคิดว่าพูดคุยกันได้ ว่าเรากำลังแก้ปัญหาและประเทศไทยจะดีขึ้น" นายสมคิด กล่าว